
หลงัจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านพ้นไป อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกก็กลับมาสดใสอีกครั้ง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทอท.หรือ AOT เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง 2 ปี ในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 16,322 ล้านบาท และ 2565 ขาดทุนสุทธิ 11,087 ล้านบาท หลังจากนั้นในปี 2566 ก็กลับมามีกำไรต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 มีกำไรสุทธิ 14,262 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทิศทางการเติบโตกลับมาสู่ภาวะปกติ ในขณะเดียวกัน AOT ก็มีแผนลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานอย่างต่อเนื่องตามแผนแม่บท
แผนลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานของ AOT ภายใต้การนำของ นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT (ว่าที่ผู้อำนวยการใหญ่ AOT ผู้หญิงคนแรก) นั้นจะมีวิสัยทัศน์การนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ เพื่อยกระดับบริการสนามบินของ ทอท. ให้เป็น “World Class Hospitality” เพื่อสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาคนั้นเป็นอย่างไร
แผนลงทุนพัฒนาท่าอากาศยาน AOT
นางสาวปวีณา กล่าวว่า AOT วางแผนการลงทุนออกเป็น 3 ระยะ คือ ระสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร และเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานไทยในการรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต เริ่มจากแผนระยะยาว โดยจะพัฒนาและขยายท่าอากาศยานในสังกัด AOT ทั้ง 6 แห่งให้สอดคล้องกับปริมาณของผู้โดยสารที่เติบโตขึ้นทุกปี

ส่วนแผนที่ระยะใกล้ที่สุด คือ การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้แก่ การลงทุนโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกของสนามบินสุวรรณภูมิ (EAST EXPANSION) วงเงินลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับอาคารผู้โดยสารหลังหลัก (Main Terminal) เพื่อรองรับผู้โดยสารกลุ่มอาคาร Main Terminal อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite 1: SAT-1) และ 3 รันเวย์ รวมกับ EAST EXPANSION ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 80 ล้านคนต่อปี ซึ่งเวลานี้ทสภ.อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนแม่บท (มาสเตอร์แพลน) ที่จะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงการปรับปรุงระบบถนน และการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 4 เพื่อให้การรองรับผู้โดยสารของ ทสถ.สูงสุดถึง 120 ล้านคนต่อปีในอนาคต


เร่งเปิดประมูล 2 โครงการภายใน 4 เดือน
นางสาวปวีณา กล่าวว่า ปัจจุบันในส่วนของ ทสภ. มีการนำเสนอโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) วงเงินลงทุนรวม 1.2 หมื่นล้านบาท และโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (BHS) ขาเข้าจากอาคาร SAT-1 เข้าสู่อาคารหลัก หรือ Main Terminal ซึ่งปัจจุบันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความเห็นเรียบร้อยแล้ว รอนำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณา หากได้รับการอนุมัติจะสามารถเปิดประมูลทั้ง 2 โครงการได้ทันที
ปรับปรุงแผนแม่บท “สุวรรณภูมิ”
นางสาวปวีณา กล่าวว่า สิ่งที่เปลี่ยนจากแผนแม่บทปี 2546 คือ จากเดิมมี 4 อาคาร ได้แก่ Main Terminal ,อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT 1) . SAT 2 และอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าการมี 4 อาคารดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารของสายการบิน และอุปสรรคของการให้บริการภาคพื้น รวมถึงการเสียพื้นที่ในการทำกิจกรรมอื่นๆเพิ่มเติม ดังนั้นในแผนแม่บทฉบับใหม่จึงมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีทั้งอาคารผู้โดยสาร ศูนย์ซ่อมบำรุงรักษาอากาศยาน (MRO) และคลังสินค้า (Cargo) ที่ให้บริการสินค้าที่มากับเครื่องบิน

ดังนั้นแผนฉบับใหม่จะมีการตัดอาคาร SAT 2 ออก เหลือแค่ 3 อาคาร โดยโครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) วงเงินลงทุน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งจะออกแบบให้รองรับผู้โดยสารเท่าเดิม แต่มีการเพิ่มหลุมจอด และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือมาออกเป็นพื้นที่ให้บริการ MRO และ Cargo แทน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 และแล้วเสร็จในปี 2576
ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลา 111 ปีแล้ว เวลานี้มีความแออัด จึงจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 วงเงินลงทุน 3.6 หมื่นล่านบาท โดยจะมีการก่อสร้าง Terminal 3 เป็นอาคารสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศแห่งใหม่ และอาคารเดิมจะยังคงให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ ปัจจุบันอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (Terminal 1) ยังคงให้บริการสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (Terminal 2) ให้บริการสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ

ทั้งนี้ปัจจุบัน Terminal 3 อยู่ระหว่างการออกแบบน่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤศจิกายนนี้ จากนั้นจะนำเข้าบอร์ด AOT พร้อมขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสนอให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ช่วงเดือนมีนาคม 2569 หากได้รับการอนุมัติก็จะน่าสามารถเปิดประมูล Terminal 3 และกลุ่มอาคารอื่นๆอีก 21 กลุ่มงาน ได้ในช่วงต้นปี 2570 และจะใช้เวลาก่อสร้าง 7 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2576
ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) มีการปรับปรุงแผน เนื่องจากเดิมมีการออกแบบอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศแยกกับอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งพบว่าสัดส่วนการใช้บริการของผู้โดยสารภายในประเทศมากกว่าผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประกอบกับศึกษาท่าอากาศยานลานนา จึงมีการปรับปรุงแผนพัฒนา ทชม.ซึ่งปัจจุบันออกแบบเสร็จแล้ว แต่จะมีการปรับปรุงตัวแบบอาคาร เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารที่เติบโตขึ้นได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) อยู่ระหว่างการออกแบบจะแล้วเสร็จในปี 1 ปีข้างหน้า จากนั้นจะเสนอขอ ครม. เพื่ออนุมัติโครงการ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปีหรือกลางปี 2570 ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนแม่บท คาดว่าจะมีการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเร็วๆนี้ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย(ทมฟ.) ปัจจุบันการให้บริการตัวอาคารหลักยังไม่ค่อนราบรื่น เพราะการใช้ประโบชน์พื้นที่ส่วนกลางยังไม่ค่อนถูกต้องจึงมีปรับปรุงแผนผังท่าอากาศยานใหม่ โดยแยกจะตัวอาคาร VIP ออกจากอาคารหลักมาข้างนอก เพื่อให้การบริการผู้โดยสารได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เล็งเพิ่มค่า PSC ขยายธุรกิจ Non-Aero เสริมแกร่งรายได้
นางสาวปวีณา กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของ AOT แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.โครงสร้างพื้นฐานที่เสริมสร้างศักยภาพ และการให้บริการกับท่าอากาศยาน โดยการลงทุนขยายขีดความสามารถในรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานในสังกัด AOT ทั้ง 6 แห่ง และ2.แผนการสร้างรายได้ให้กับ AOT ซึ่งต้องเป็นรายได้ที่มั่นคงและเหมาะสมกับการประกอบกิจการของท่าอากาศยานอย่างแท้จริง

โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงการจัดเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charges หรือ PSC ค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน (Landing Charge) และค่าบริการที่เก็บอากาศยาน (Parking Charge) ซึ่งเป็นรายได้จากการบิน (Aero) ให้มีความเหมาะสม เพราะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในโลกจะเห็นว่าค่าจัดเก็บของไทยยังต่ำมาก
โดยในส่วนของค่า PSC นั้นหลังจากที่ AOT ได้ทำการศึกษาค่า PSC แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน ICAO และ IATA พบว่าค่า PSC ที่จะปรับขึ้นเป็นไปตามมาตรฐานที่สนามบินทั่วโลกใช้ และได้ผ่านการพิจารณาของบอร์ด AOT แล้ว AOT ได้เสนอเรื่องไปให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทาง CAAT จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เพื่อพิจารณา หากได้รับการอนุมัติก็จะเข้าสู่กระบวนการปรับขึ้นค่า PSC คาดว่าจะสามารถใช้ราคาค่า PSCใหม่ได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2569 ซึ่งก็จะส่งผลให้รายได้จากการบินของ AOT เพิ่มมากขึ้น
ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่จากกิจการที่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aero) ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สำคัญของ AOT นั้น AOT เตรียมพร้อมปรับปรุงนำบริการใหม่ๆ เข้ามาให้บริการกับผู้โดยสารภายในท่าอากาศยานให้มากขึ้น เพื่อเป็นการพัฒนารายได้เพิ่มในอีก 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ AOT ยังมีพื้นที่ว่างเปล่าที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น AOT จะนำมาพัฒนาเพื่อส่งเสริมการเป็น Aviation Hub ของไทย โดยในส่วนของพื้นที่ 723 ไร่นั้น ได้แบ่งออกเป็น 5 แปลง ซึ่งมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้ามายื่นข้อเสนอเกือบทุกแปลงแล้ว เช่น ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบิน ศูนย์โลจิสติกส์ เป็นต้น อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าแต่ละแปลงควรเป็นกิจการใด และข้อเสนอของ ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาท่าอากาศยานของ AOT ได้หรือไม่
ยกระดับบริการสู่มาตรฐานระดับโลก

นางสาวปวีณา กล่าวว่า การยกระดับการให้บริการสู่มาตรฐานระดับโลก (World Class Hospitality) คือการให้บริการอย่างอบอุ่นและจริงใจ โดย ซึ่งหมายถึงพนักงานทุกคนและผู้ประกอบการทุกร้านที่พร้อมจะให้บริการผู้โดยสารอย่างจริงใจและอบอุ่น รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างรายได้ AOTให้เป็นโครงสร้างรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านสนามบินอย่างแท้จริง และการพยายามเพิ่มรายได้ในสัดส่วนของ Non-Aero และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้ท่าอากาศยานมีบริการที่ดีและมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อความยั่งยืนขององค์กร ส่วนการลงทุนจะไปในแนวทางของ Smart Investment ซึ่งหมายถึงการลงทุนอย่างคุ้มค่าที่เน้นการบริการผู้โดยสารเป็นหลัก
ปี 69 ตั้งเป้าผู้โดยสาร 135 ล้านคน
นางสาวปวีณา กล่าวว่า ในปี 2568 จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 126 ล้านคน ดังนั้น ในปี 2569 AOT ตั้งเป้าหมายจำนวนผู้โดยสารที่จะเติบโตที่ 135 ล้านคน โดยมองปัจจัยบวกจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.นักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ทำการตลาดอย่างหนัก ซึ่งเห็นผลได้จากปริมาณผู้โดยสารโดยรวมที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าผู้โดยสารจากจีนจะลดลง 40% แต่มีผู้โดยสารจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย ยุโรป ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 2.นักเดินทางที่เป็นคนไทยออกไปเที่ยวต่างประเทศและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น และ3.รัฐบาลได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการขยายการลงทุนภายในประทศ พอมีการลงทุนเพิ่มขึ้นก็จะช่วยให้เกิดการเดินทางเพิ่มขึ้น