“พิพัฒน์” ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช เตรียมรับมือน้ำท่วม 68 

Loading

“พิพัฒน์” ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช เตรียมรับมือน้ำท่วม68 พร้อมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตนได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานด้านการเตรียมการป้องกันอุทกภัยปี 2568 พร้อมติดตามความพร้อมของจังหวัดในการรับมือสถานการณ์ภัยธรรมชาติ โดยมี นายอารี ไกรนรา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง นายพิชิต หุ่นศิริ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ผู้บริหารสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน และมีนายสมชาย ลีหล้าน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช และ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด นายอำเภอ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 1,800 คน เข้าร่วม

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการน้ำ และมอบแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลจริงในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกนโยบายเดินไปในทิศทางเดียวกัน และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านเกษตรกรรม การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และพลังงาน เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่าง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมานานหลายสิบปี โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ เช่น อำเภอทุ่งสง ฉวาง พิปูน ปากพนัง และบริเวณรอยต่อเขาหลวง รัฐบาลจึงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามตนได้เน้นย้ำ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การเตรียมการรับมืออุทกภัยปี 2568 และ 2.แนวทางขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติในพื้นที่ โดยการเตรียมการรับมืออุทกภัย ปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนและมีแนวโน้มฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคใต้ รัฐบาลจึงให้ทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดทำแผนป้องกันอุทกภัยอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้

ด้านการเตรียมความพร้อม: ติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ซ้อมแผนเผชิญเหตุประจำปี ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน ฝาย และพนังกั้นน้ำ พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิง 183 แห่ง รองรับประชาชนได้กว่า 121,000 คน และศูนย์พักพิงร่วมใจฯ อีก 4 แห่ง

ด้านการบริหารพื้นที่เสี่ยง: ขุดลอกคูคลอง เพิ่มเครื่องสูบน้ำในเขตชุมชน เศรษฐกิจ และริมแม่น้ำ พื้นที่ชายฝั่งให้บูรณาการร่วมกับกรมเจ้าท่าและตำรวจน้ำ ควบคุมการเดินเรือช่วงคลื่นลมแรง ส่วนพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น น้ำตกหรืออุทยาน ให้เฝ้าระวังและจำกัดการเข้าออกเมื่อมีความเสี่ยง

ด้านการเผชิญเหตุและฟื้นฟู: จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ทุกระดับ ระดมกำลังฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และจิตอาสาเข้าช่วยเหลือประชาชน ซ่อมแซมถนน บ้านเรือน และระบบคมนาคมให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็ว

ด้านการจัดการขยะและวัชพืชกีดขวางทางน้ำ: เร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชกว่า 689,000 ตัน เพื่อเปิดทางระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ทางหลวงหมายเลข 4103 (ปากพูน–เบญจม) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักเชื่อมเมืองกับสนามบิน ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยจะจัดสรรงบประมาณแก้ไขอย่างถาวร

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติจริง มีแนวนโยบายสำคัญ 5 ด้านที่ทุกจังหวัดต้องร่วมกันขับเคลื่อน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ: ดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน 2.ด้านความมั่นคง: แก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ควบคู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ 3.ด้านสังคม: ปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์ ภายใต้นโยบาย ผู้เสพคือผู้ป่วย ผู้ค้าต้องถูกดำเนินคดี 4.ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 5.ด้านการบริหารภาครัฐ: ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคภายใต้โครงการ “Guillotine Law Reform” เพื่อให้ระบบราชการคล่องตัว โปร่งใส และตอบสนองประชาชนมากขึ้น

ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนนกว่า 182 สาย เพื่อเพิ่มศักยภาพการคมนาคมและเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะถนนสายสำคัญ ทางหลวงหมายเลข 4189 (นบพิตำ–พิปูน) ที่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงโครงการระบบระบายน้ำหลักใน 4 อำเภอ เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจและเกษตรกรรม

การป้องกันอุทกภัยและการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน เมื่อทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจทำงานไปในทิศทางเดียวกัน จังหวัดนครศรีธรรมราชจะสามารถก้าวข้ามปัญหาภัยธรรมชาติ และพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน.