BGRIM  ลุ้น ”ภาคส่งออก – ท่องเที่ยว“ ฟื้นตัว หนุนแผนธุรกิจปี 2569  

Loading

”บี.กริม เพาเวอร์“ ประเมินแผนการดำเนินธุรกิจในปี  2569 หวังภาคการส่งออกและท่องเที่ยวฟื้นตัว หนุนเศรษฐกิจไทย พร้อมเดินหน้า ​COD โรงไฟฟ้า  5 โครงการในมือ กว่า  558 เมกะวัตต์ สู่เป้าหมาย เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ แตะ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ขณะที่ผลงานไตรมาส 3/2568  กำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่ง ลูกค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องต้นทุนราคาก๊าซฯ ลดลง

เข้าสู่ช่วงการดำเนินธุรกิจในไตรมาส​ 4 ของปี ​2568 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของไทย ได้เตรียมความพร้อมการดำเนินธุรกิจในปี  2569 โดยเริ่มจากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2569 ตามคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเศรษฐกิจ จะขยายตัว 1.6% ซึ่งได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการเร่งการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะทยอยฟื้นตัว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มเติบโตในระดับปานกลางจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้า SPP คาดการณ์ว่า จะอยู่ในระดับใกล้เคียงปี  2568  อยู่ที่ 290-310 บาทต่อล้าน BTU 

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ระบุว่า แผนการดำเนินงานในปี  2569 BGRIM ยังคงเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาว “GreenLeap – Global and Green” สอดคล้องกับเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 พร้อมก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050

โดยในปี  2569  “บี.กริม เพาเวอร์” มีโครงการที่คาดว่าจะเริ่มเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) รวม 5 โครงการ ได้แก่ 1. อินทรี บี.กริม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 80 เมกะวัตต์ 2. Zhongce Rubber โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ 3. Nakwol 1 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง 365 เมกะวัตต์ 4. Huong Hoa 1 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนฝั่ง 48 เมกะวัตต์ และ 5. โครงการอื่น ๆ รวมกำลังการผลิตสูงสุด 30 เมกะวัตต์

อีกทั้ง ยังวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 9 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 30-40 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ ความร่วมมือกับ GC Estate ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านพลังงาน พัฒนาโครงข่ายสถานีไฟฟ้าย่อยและยกระดับระบบจำหน่ายไฟฟ้าภายในพื้นที่ของ GC Estate ในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จ.ระยอง รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม รองรับความต้องการไฟฟ้าในอนาคตได้ถึง 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟเข้าสู่ระบบได้ในกลางปี 2569

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 414 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 48.8% และ EBITDA 3,533 ล้านบาท ลดลง 15.5% ขณะที่งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 1,638 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 13.7% และ EBITDA อยู่ที่ 10,990 ล้านบาท ลดลง 6.3% สาเหตุหลักมาจากการได้รับผลกระทบจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงที่บันทึกในส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมและการร่วมค้า รวมถึงการลดลงของรายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานหลักของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก 4 ปัจจัยหลัก 1. ปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน     2. ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง 11.1% จากปีก่อน 3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) และค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง และ 4. กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่เกิดขึ้นจริง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 521 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 163 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยข้างต้น รวมถึงรายการที่ไม่ใช่เงินสดจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเกิดจากหนี้สินคงค้างสกุลดอลลาร์สหรัฐและธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศ

ความเคลื่อนไหวสำคัญในไตรมาสที่ 3 ที่ส่งผลต่อการเติบโตของ บี.กริม เพาเวอร์ ได้แก่ การเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 13.2 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์  ทำให้ยอดรวมเป็น 33.9 เมกะวัตต์ 

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน เป็นไปตามแผนเป้าหมายปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 40–50 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศจัดตั้ง บริษัทย่อยแห่งใหม่ 2 แห่งในประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และในเดือนกันยายน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน อู่ตะเภา (เฟส 1) กำลังการผลิตติดตั้งรวม 18 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี กับ กิจการไฟฟ้าสัตหีบ หน่วยสวัสดิการกองทัพเรือ กำลังผลิตตามสัญญา 15 เมกะวัตต์ 

ล่าสุดในเดือนตุลาคม บริษัท สมาร์ท คลีน ซิสเท็ม วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตตามสัญญา 16 เมกะวัตต์ โดยกำหนด COD ในปี 2573

บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงเดินหน้าขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความร่วมกับ Texplore ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ CHILLOX โซลูชันประหยัดพลังงาน สำหรับคลังสินค้าห้องเย็นและในอุตสาหกรรมอื่นๆ ตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านการใช้พลังงานของลูกค้าภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม 

พร้อมกันนี้ ยังได้ร่วมกับ Renewable Energy Solution (RES) บริษัทร่วมทุนระหว่าง กลุ่ม EGCO และ บี.กริม เพาเวอร์ เปิดตัว “เครื่องมือตรวจวัดประสิทธิภาพแผงโซลาร์เซลล์ที่มีความยาวเกิน 2 เมตร” เครื่องแรกในไทยและอาเซียน เพื่อยกระดับการตรวจสอบแผงโซลาร์ให้มีมาตรฐานทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นแก่องค์กรและผู้ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

การดำเนินงานไตรมาส 3 ตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลและประกาศเกียรติคุณ ในเดือนกันยายน ได้รับรางวัล “สุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2568” เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จาก HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นด้านการบริหารและพัฒนาบุคลากร นอกจากนี้ ยังได้รับ 7 รางวัลจากเวที HR Excellence Awards 2025 ต่อเนื่องปีที่ 2 และล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน ได้รับรางวัล Outstanding CEO, Outstanding CFO และ Outstanding IR ในกลุ่มผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภค จากงาน IAA Awards for Listed Companies 2025 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน