“จุฬา” แจง! แก้สัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน “รัฐจ่ายเร็ว” แลกโครงการเดินหน้า คาดเสนอครม. ธ.ค.นี้

Loading

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (อู่ตะเภา-สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง) มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาท เริ่มลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 หากสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้เลยในปี 2562 ก็จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2568 แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขสัญญา

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเกิดความล่าช้าส่วนหนึ่งมาจากความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ของรัฐตั้งแต่ปี 2562 เมื่อส่งมอบพื้นที่ช้าผู้ได้รับสัมปทานก็ไม่สามารถเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ แต่พอเริ่มส่งมอบพื้นที่ได้เกือบ 100% หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลีคลายก็ไม่สามารถเริ่มการก่อสร้างได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปัจจุบันสูงขึ้นประมาณ 2.5% เทียบกับช่วงปี 2560 ที่มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 5% และค่าใช้จ่ายในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance หรือ O&M) เพิ่มสูงขึ้นถึง 10%  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนสำหรับผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ซึ่งเดิมคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5.5% ลดลงเหลือเพียง1.1% ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งถือว่าต่ำมากจนนักลงทุนมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ขณะที่สถาบันการเงินก็ไม่ปล่อยกู้

แนวทางแก้ไขสัญญา “สร้างไป จ่ายไป” รัฐจ่ายเร็วขึ้นดอกเบี้ยลด

ดร.จุฬา กล่าวว่า การแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนั้นมีมติจาก คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเอกชนโดยตรง หลักการสำคัญที่แก้ไข คือ การขยับการจ่ายเงินของรัฐให้เร็วขึ้น จากสัญญาเดิมการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเริ่มจ่ายเงินงวดหลักหลังจากการดำเนินการแล้วปีที่ 6 ส่วนสัญญาใหม่ขอแก้หลักการให้มีการจ่ายเงินเร็วขึ้น เป็นปีที่ 2 หรือปีที่ 4 (หรือที่เรียกกันว่า “ก่อสร้างไป จ่ายไป”) การขยับการจ่ายเงินเร็วขึ้นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงให้เอกชน ทำให้เอกชนได้ปรโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยสามารถกู้เงินจากธนาคารได้มากขึ้น เพื่อนำมาดำเนินโครงการ

ทั้งนี้การจ่ายเงินเร็วขึ้นส่งผลดีต่อภาครัฐ กรณีที่รัฐจะต้องจ่ายเงินในปีที่ 6 ถึงปีที่ 20 รวมแล้วกว่า 140,000 ล้านบาท ถ้าจ่ายเงินเร็วขึ้น 2 – 4 ปี จะทำให้เม็ดเงินที่ต้องจ่ายลดลงเหลือประมาณ 20,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการจ่ายเงินเร็วขึ้นภายใต้สัญญาใหม่นั้นสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า อาจจะต้องมีกระบวนการตามกฎหมาย โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ซึ่งจะต้องมีภาระการเงิน ภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายคืนค่าร่วมลงทุน ซึ่งประเด็นนี้ จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อน

“ถ้าเอกชนรายนี้ไม่ทำแล้วเอาไปประมูลใหม่ให้เอกชนรายอื่นก็ใช่ว่าจะขอกู้เงินธนาคารได้ เพราะโครงการมีต้นทุนสูงขึ้น ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 5% จากปี 2560 ผลตอบแทนต่ำ ค่าใช้จ่ายจากให้บริการเดินก็ไม่น่าจะลดลง ดังนั้นการแก้ไข สัญญาจึงเป็นทางออกที่ดีให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อได้ ในขณะที่เอกชนก็มีโอกาสกู้เงินมาลงทุนได้” ดร.จุฬา กล่าว

เตรียมเสนอครม. เดือนธันวาคมนี้

ดร.จุฬา กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการแก้ไขสัญญา คือการก่อสร้างไป จ่ายไป คาดว่าจะเสนอครม.ได้ในเดือนธันวาคม 2568 หลังจากนั้นเสนอให้สำนักงานอัยการสูงสุด ตรวจร่างสัญญา จากนั้นรฟท.จะต้องสรุปร่างสัญญาแล้วเสนอให้บอร์ดอีอีซี ซึ่งขั้นตอนนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เมื่อเห็นชอบในร่างสัญญาแล้วจะต้องเสนอไปยังครม.อีกครั้ง เพื่ออนุมัติเห็นชอบให้ลงนามในสัญญา หลังจากก่อจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ประมาณต้นปี 2569 ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้าง 5 ปี

“โครงการนี้ยังเป็นรูปแบบ PPP Net Cost นั้นหมายความว่า ความเสี่ยงอยู่ที่เอกชน ส่วนทรัพย์สินเมื่อครบสัญญาสัมปทานก็ต้องคืนให้รัฐทุกอย่างยังเหมือนเดิมเปลี่ยนประเด็นเดียว คือ เรื่องการจ่ายเงิน ดังนั้นที่ บอร์ดอีอีซี อนุมัติก็เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ แก้เพื่อให้โครงการเดินหน้า”  

ดร.จุฬา กล่าวอีกว่า เมื่อโครงการเดินหน้าได้เกิดการลงทุนก่อสร้างก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าทุกอย่างชัดเจน การดำเนินโครงการเดินหน้าได้ตามเป้าหมายก็จะส่งให้เกิดการลงทุนตามแนวสถานีรถไฟความเร็วสูง และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการโครงการนี้จะช่วยเชื่อมโยงพื้นที่ EEC (โดยเฉพาะอู่ตะเภา) ให้กลายเป็น เนื้อเดียวกัน” กับกรุงเทพฯ โดยใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง

อนึ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นรูปแบบ PPP Net Cost ภายใต้สัญญาสัมปทาน 50 ปี แบ่งเป็นการดำเนินการก่อสร้าง 5 ปี และการเดินรถอีก 45 ปี โดยจะก่อสร้างทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร (Standard Gauge) รวมระยะทาง 220 กิโลเมตร มีผู้เดินรถรายเดียวกัน ซึ่งรถไฟความเร็วสูงมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง