ทีม PRISM ปตท.ฉายภาพราคาน้ำมัน ปี2569 ทรงตัวระดับต่ำ แนะกลุ่มโรงกลั่นฯ เร่งปรับกระบวนการผลิตเพิ่มมาร์จิ้น

Loading

ปัจจุบันสถานการณ์โลกที่เผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยท้าทายทุกภาคส่วนในการปรับตัวสู่ “ยุคพลังงานสะอาด”

โครงการบริหารการสร้างประโยชน์ร่วมธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (PRISM Experts) จึงร่วมกับ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนา 2025 The Annual Petroleum Outlook Forum ภายใต้แนวคิด “Shaping the Future in an Uncertainty World through Sustainable Pathway: ร่วมกำหนดทิศทาง ข้ามผ่านยุคท้าทาย ด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ขึ้นในวันนี้ (28 พ.ย. 2568) เพื่อนำเสนอข้อมูลทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลก รวมถึงความท้าทายของพลังงานในอนาคตที่ต้องเผชิญ และแนวทางการรองรับเพื่อมุ่งสู่พลังงานที่ยั่งยืน ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปรับทราบ เพื่อให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้ปรับตัวทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTTระบุว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ทั้งด้านดีมานด์และซัพพลาย รวมถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งข้อมูลจากงานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะช่วยให้นำประโยชน์ไปใช้ในการปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์องค์ธุรกิจได้ทันต่อสถานการณ์โลกที่จะเปลี่ยนแปลงไป

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ Shifting Tides: Navigating Economic Trends in Global, Asia and the Thai Region” โดยระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับปัจจัยความท้าทายที่ไม่ปกติ โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆของสหรัฐฯ ไม่ได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากนัก และWTO ได้ประเมินการค้าโลกว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ ขณะที่เอเชีย เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง อาเซียนโต 4.3% แต่เศรษฐกิจจีน จะอ่อนแอลง ส่วนประเทศไทยการส่งออกไม่ได้แย่ลง อย่างไรก็ตาม ยังมีผลกระทบจากการที่สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากจีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯได้น้อยลง จนต้องเปลี่ยนมาส่งออกสินค้าให้ไทยมากขึ้นถึง 30% ซึ่งปัญหานี้จะยังอยู่กับประเทศไทยไปอย่างน้อยอีก 5 ปี รวมถึงจีนมีการส่งออกผู้ประกอบการจีนเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทยด้วย ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวนใจ

ดังนั้น กระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.แนวโน้มเศรษฐกิจ ที่เข้าสู่ช่วงใหม่ที่มาจากการขยายตัว เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นทำสถิติใหม่ จากสภาพคล่องที่ล้นตลาด เกิดความผัวผวนของค่าเงินในหลายประเทศ

2.ภูมิรัฐศาสตร์ โดยโลกกำลังเข้าสู่ช่วงการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจ ระหว่างสหรัฐกับจีน ที่อาจนำไปสู่ปัญหาสงครามในอนาคต ทั้งสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี สงครามระบบชำระเงิน สงครามเข้าพวกระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ และนำไปสู่สงครามทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า

3.การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มากขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น จะส่งผลกระทบในหลายภาคส่วน เช่น ธนาคาร จะได้รับผลกระทบจากธนาคารเสมือนจริง เป็นต้น และจำเป็นที่ผู้ประกอบการตัวเองปรับตัว

4.วิกฤติสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องจับตาทะเลที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต และ5.การเกิดขึ้นของอาเซียนใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ จะเป็นโอกาสของประเทศในแถบอาเซียนและไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และจะเห็นอาเซียนใหม่ใน 5 ปีข้างหน้า เป็นโอกาสทางธุรกิจและพลังงานของไทย รวมถึงยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI จะทำลายสถิติต่อเนื่อง

ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องก้าวสู่ความท้าทาย โดยต้องเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้น พร้อมปรับตัวให้เข้มแข็งเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ขณะที่ ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (PRISM Experts) ได้ประเมินสถานการณ์และทิศทางราคาน้ำมันดิบในปี 2569 จะอยู่ในระดับทรงตัว พร้อมแนะถึงโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ ดังนี้

คุณภัสสร์ ข้อมงคลอุดม บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวบรรยายในหัวข้อ “Oil Demand and Supply 2026 : The Shift of World’s Order โดยระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากร(tariffs) ของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2569 มากขึ้น โดย IMF คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลงเหลือ 3.1% ตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศมหาอำนาจที่มีการบริโภคน้ำมันในระดับสูงชะลอตัวทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ,จีน, และอินเดีย ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อย่างโอเปกพลัส ที่เพิ่มการผลิตน้ำมันมาต่อเนื่องในปี2568 และประกาศว่าจะหยุดเพิ่มการผลิตน้ำมันในไตรมาส 1 ปี2569 ซึ่งก็ต้องจับตา รวมถึงกลุ่มนอน-โอเปกพลัส ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มผลิตน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องจับตา ทั้งความขัดแย้งระหว่าง รัฐเซีย กับ ยูเครน กลุ่มตะวันออกกลาง และสหรัฐกับเวเนซุเอลา เป็นต้น

ดังนั้นในปี2569 PRISM Experts คาดการณ์ว่า ซัพพลายน้ำมันจะล้นตลาด จากการเพิ่มกำลังผลิตของโอเปกพลัส และนอน-โอเปกพลัส ขณะที่ดีมานด์ของโลกยังชะลอตัว แต่ยังเติบโตได้จากอินเดียที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง และจีนที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงแต่ยังเติบโตได้ รวมถึงประเทศในแถบเอเซียที่ยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยคาดว่า ปี2569 ซัพพลายน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ดีมานด์อยู่ที่ 0.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ จะอยู่ในกรอบ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในปี2569 ที่ทรงตัวในระดับต่ำจะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง การขาดดุลการค้าที่ลดลง และเป็นโอกาสที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวราคาถูก และเป็นโอกาสปรับลดต้นทุนราคาพลังงาน รวมถึงยังเป็นโอกาสสนับสนุนไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ตลอดจนกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันของไทย ควรใช้โอกาสนี้จัดเตรียมวัตถุดิบและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น

คุณภานุเดช แสนทวีสุข บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวบรรยายในหัวข้อ Future Energy: Accelerating Transition, Balancing Tomorrow โดยระบุว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ทำให้โลกมุ่งไปสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ลดคาร์บอนต่ำเข้ามาใช้ ซึ่งจะมุ่งไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนและก๊าซธรรมชาติ ควบคู่กับการลดการใช้พลังงานฟอสซิลลง

ดังนั้น ประเทศไทยจะสร้างสมดุลพลังงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้นั้น การใช้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น และต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆให้รองรับ และปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ขณะที่ก๊าซฯจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ เช่น CCS,ไฮโดรเจน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR)

ทั้งนี้ ข้อฝากข้อเสนอแนะ 4 ด้าน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่ยั่งยืน ได้แก่ 1. พัฒนากฎหมายให้ทันสมัย 2.พัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว พร้อมหาแหล่งเงินทุนสนับสนุน 3.ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ เพื่อลดต้นทุนพลังงาน และ4.สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน-ประชาชน เพื่อเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน เพราะการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น