![]()
“กฟผ. จะไม่เป็นเพียง “ผู้ผลิตฟ้าเพื่อความมั่นคง” แต่จะเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการบริหารแบบมืออาชีพ” เพื่ออนาคตที่มั่นคง ยั่งยืนของประเทศ และคนไทยทุกคน”
ประโยคดังกล่าวเป็นความคาดหวังของ นายนรินทร์ เผ่าวณิช ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) คนที่ 17 ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กร กฟผ. ในช่วงที่ตนตำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กฟผ.

นายนรินทร์ มองว่า ทิศทางพลังงานโลกที่มีความต้องการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขยับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยเร็วขึ้นเป็นปี ค.ศ. 2050 ทำให้ กฟผ. ต้องปรับบทบาทจากผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงไปสู่การดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทยและผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวและการเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยแผนขับเคลื่อนการลงทุนของ กฟผ.ในระยะสั้น ปี 2569 มีแผนลงทุนกว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าประมาณ 13,000 ล้านบาท งานปรับปรุงและบำรุงรักษาเสถียรภาพโรงไฟฟ้าแม่เมาะ 9,200 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ,เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี รวมกำลังการผลิต 1,638 เมกะวัตต์
“การลงทุนในพลังงานสะอาด อย่างโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนที่เดิม กฟผ.เคยได้รับอนุมัติลงทุนไว้ 2,725 เมกะวัตต์นั้น จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero และกฟผ.ก็มีศักยภาพพื้นที่ที่จะติดตั้งได้ทั้งหมดถึง 10,000 เมกะวัตต์”
นอกจากนี้ กฟผ. ได้มองหาพลังงานคาร์บอนต่ำใหม่ที่ยั่งยืน อาทิ การนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% โดย กฟผ. ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงผสมไฮโดรเจนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. รวมทั้งสิ้น 6 โรงไฟฟ้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. ศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงผลักดันโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เป็นพลังงานสะอาด และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์
กฟผ. ยังเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้า รองรับความผันผวนจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ โดย กฟผ. มีแผนพัฒนาโครงการจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนกะทูน พัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานซึ่งสามารถจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว พัฒนาศูนย์การพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center) ผสานข้อมูลพยากรณ์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ รวมถึงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับพลังงานทดแทน การเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าเอกชน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โดยจะมีการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับการขยายตัว Data Center ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นอีก 1,750 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจ่ายไฟเฟสแรกในช่วงปลายปีนี้ และเสร็จสิ้นในปลายปี 2569
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบหลักการแก้ไขพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) กำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2512 โดยเพิ่มกลุ่มผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าประเภท Data Center ตั้งแต่ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไป ให้สามารถเป็นลูกค้าตรง (Direct Customer) ของกฟผ.ได้นั้น ขั้นตอนต่อไป กฟผ.จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป ซึ่งมติดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ให้เข้ามาใช้งานได้ง่ายขึ้น
ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กฟผ. เดินหน้าจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ราคาถูกด้วยสัญญาระยะยาว โดย กฟผ.มีแผนจะนำเข้า LNG ภายใต้สัญญาระยะยาว 10-15 ปี จำนวน 1 ล้านตันต่อปี ขณะนี้มีผู้สนใจเสนอขาย LNG มากกว่า 20 ราย คาดว่าจะเปิดประกวดราคาภายในปี 2569 จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าแค่สัญญาระยะสั้น (Spot LNG) ปีละ 1.2-1.5 ล้านตัน เพื่อป้อนโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยคาดว่า การนำเข้า LNG ดังกล่าว จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศ เพราะที่ผ่านมา กฟผ.สามารถนำเข้า LNG ได้ในราคาที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ที่ กกพ.กำหนด
อีกทั้ง กฟผ.ยังยืดอายุโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ อาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าน้ำพอง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดต่ำลง และแข่งขันได้ พร้อมแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ LNG ซึ่งล่าสุดบริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กฟผ. กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ Topside สูบถ่าย LNG จากเรือขนส่งเข้าสู่สถานี LNG ณ ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จ.ระยอง เพื่อให้สถานีสามารถรักษาความต่อเนื่องของการรับเรือและจ่ายก๊าซธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

สำหรับทิศทางราคาพลังงานในปี 2569 กฟผ. ประเมินว่า หากไม่มีปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามเกิดขึ้น ก็คาดว่า ราคาพลังงานจะไม่ผันผวน ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคา LNG ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน ที่ระดับ 11-12 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟไม่สูงขึ้น และคาดว่า จะทำให้ กฟผ. ได้รับคืนหนี้ต่อเนื่อง และหมดภายในปี 2570 จากปัจจุบัน กฟผ. แบกรับ 40,000 ล้านบาท จากอดีตเคยรับภาระกว่า 1.5 แสนล้านบาท
ขณะที่การใช้ไฟฟ้าในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตราว 3-4% ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆของภาครัฐ รวมถึงการท่องเที่ยวที่ยังเติบโต รวมถึงยังติดตามสภาพภูมิอากาศด้วย
ส่วนการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(PDP)ฉบับใหม่นั้น กฟผ.อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับกระทรวงพลังงาน อย่างใกล้ชิด ซึ่งจากที่ได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้น ตามแผนPDP ฉบับใหม่ จะมีการพิจารณาปรับความเหมาะสมของโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลให้โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ.บางพื้นที่ต้องเลื่อนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไป และบางโรงไฟฟ้าอาจถูกลงเลิกแผนการก่อสร้างด้วยหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการประสานข้อมูลกับภาครัฐ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตไม่ได้เติบโตตามที่พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในอดีต
ขณะเดียวกันในแผนPDP ฉบับใหม่ จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR)และยังอาจเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนด้วยนั้น กฟผ.มองว่า การลงทุนในช่วงแรกเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบยังคงเป็นหน้าที่ของกฟผ.เป็นหลัก แต่ในระยะถัดไปลงเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน ซึ่งก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับบริษัทลูกของ กฟผ.ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปรับแผนPDP ฉบับใหม่ กฟผ.ยังคงคาดหวังที่จะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในระดับสูง เพื่อเป็นเครื่องมือในการรักษาความมั่นคงด้านไฟฟ้าให้กับประเทศในอนาคตต่อไป
นายนรินทร์ กล่าวอีกว่า การดูแลไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ ที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หาดใหญ่ จ.สงขลานั้น ล่าสุด กฟผ.ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเสียหายเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 พบว่า อุปกรณ์ใน โรงไฟฟ้าจะนะหลายชิ้นเสียหาย คาดว่า จะใช้เวลาซ่อมเสร็จสิ้นภายใน 1-2 เดือนนี้ ขณะที่สถานีไฟฟ้าย่อยปัตตานี และสงขลา ก็มีความเสียหาย และเร่งแก้ไขแล้ว คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคใต้ยังมีไฟฟ้าใช้ไม่ขาดแคลน เนื่องจากกฟผ.ได้บริหารจัดส่งไฟจากโรงไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงโรงไฟฟ้าจากภาคกลางส่งเข้าไปจ่ายไฟในพื้นที่ภาคใต้เพิ่มเติม
“ผมมุ่งบริหาร กฟผ. ให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI) ขับเคลื่อนดำเนินงานด้วยความรวดเร็วโดยยึดหลักธรรมภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ สนับสนุนบุคลากรเรียนรู้ทักษะใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบการบริหารองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ GRC (Governance – Risk Management – Compliance) โดย กฟผ. ถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกของประเทศไทยที่ออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (SLB) วงเงิน 2,000 ล้านบาท เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินเชื่อมโยงกับการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่จะลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย ในอัตราขั้นต่ำ 20% ภายในปี พ.ศ. 2571 ถือเป็นการตอกย้ำบทบาทของ กฟผ. ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero”
ส่วนการดูแลสังคม ชุมชน กฟผ. ยังคงเดินหน้าสร้างการยอมรับและความร่วมมือกับพันธมิตรทุกระดับ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในการพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกับชุมชนด้วยการยกระดับจาก CSR สู่ CSV เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน