กลุ่มBANPUทุ่ม14,147ล้านซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ

ผู้ชมทั้งหมด 620 

กลุ่มBANPU ทุ่ม 14,147 ล้านบาท ซื้อหุ้น 100% โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ขนาดกำลังการผลิต 768 เมกะวัตต์ ในสหรัฐฯ คาดดำเนินการทุกขั้นตอนแล้วเสร็จไตรมาส 4/64 หนุนรายได้ทันที

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัท BKV Corporation (BKV) เป็นบริษัทย่อยของบ้านปู และ Banpu Power US Corporation (BPPUS) เป็นบริษัทย่อยของบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท BKV-BPP Power LLC  (BKV-BPP) โดย BKV และ BPPUS ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันร้อยละ 50

ทั้งนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัท BKV-BPP Power LLC ได้ลงนามในสัญญาเพื่อเข้าซื้อหุ้นในอัตราร้อยละ 100 ในบริษัท Temple Generation Intermediate Holdings II, LLC ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 100 ในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ขนาด 768 เมกะวัตต์ ที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการลงทุนรวม 430 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 14,147 ล้านบาท

โดยเงินลงทุนสำหรับโครงการนี้มาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ และการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามการลงทุนอยู่ในระหว่างปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในสัญญา คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2564 และจะทำให้สามารถรับรู้เป็นรายได้ทันที เนื่องจาก โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I แห่งนี้ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557

มุ่งสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์

ด้านนายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP กล่าวว่า จากการทำสัญญาผ่านบริษัท BKV-BPP Power LLC ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 คิดเป็นเงินลงทุน 215 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เทียบเท่า 7,074 ล้านบาท ส่งผลให้ BPP มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 384 เมกะวัตต์ นับเป็นผลสำเร็จจากการดำเนินตามแผนกลยุทธ์ขยายการเติบโตสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 ด้วยการต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจภายในกลุ่มบ้านปู ซึ่งมีฐานธุรกิจผลิตพลังงานที่แข็งแกร่งอย่างแหล่งก๊าซธรรมชาติ  บาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส รวมถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter  

“บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืนด้วยสัดส่วนที่สมดุลระหว่างพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปและพลังงานหมุนเวียน โดยมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี HELE ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในตลาดที่มีความเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าและมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง” นายกิรณกล่าว

ด้วยประสิทธิภาพของจุดเด่น 5 ข้อ

สำหรับจุดเด่นของโรงไฟฟ้าแห่งนี้แบ่งได้เป็น 5 ข้อหลัก คือ 1. เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines หรือ CCGT ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ผสมผสานกระบวนการทำงานของ Gas Turbine (กังหันก๊าซ) กับ Steam Turbine (กังหันไอน้ำ) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2. ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัสซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เนื่องจากมีจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงและเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 

3. เป็นโรงไฟฟ้าที่จัดอยู่ในลำดับการเรียกจ่ายไฟฟ้า (Merit Order) ที่ดีเหมาะกับสภาพการแข่งขันในตลาด Electric Reliability Council of Texas หรือ ERCOT ที่มีการซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี 4. มีความพร้อมด้านการขนส่งและการจัดเก็บก๊าซ (Gas Storage) ซึ่งมีส่วนช่วยให้บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินเครื่องเพื่อผลิตไฟฟ้าให้สอดรับกับรูปแบบความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ 5. มีสัญญาระยะยาว 30 ปี สำหรับการสำรองน้ำสำหรับกระบวนการผลิต ทำให้เกิดเสถียรภาพและเอื้อต่อกระบวนการผลิตในระยะยาว และมีระบบจัดการน้ำทิ้งที่ดี สามารถลดการปล่อยน้ำเสียจนเกือบเป็นศูนย์ (Near Zero Liquid Discharge Facility)

ทั้งนี้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ส่งผลให้ในปัจจุบัน BPP มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 3,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยภายในปี 2564 ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) ระยะที่ 1 ในเวียดนาม กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เคเซนนุมะ (Kesennuma) กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ชิราคาวะ (Shirakawa) กำลังผลิต 10 เมกะวัตต์