“BANPU” คาดดีลควบรวม “BPP” สู่ “บริษัทใหม่” เสร็จสิ้น Q3/69

Loading

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย เปิดเฟสใหม่ของกลยุทธ์ Energy Symphonics ด้วยการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ เพื่อปลดล็อกมูลค่าในระยะยาวและคว้าโอกาสเติบโตจากการใช้ AI ที่เพิ่มสูงขึ้น จากแผนการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยเสริมความคล่องตัวในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายองค์กรภายในปี 2030 สะท้อนถึงการตอบสนองเชิงรุกของบ้านปูต่อภูมิทัศน์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับโครงสร้างดังกล่าวประกอบด้วย 1.การควบรวมกิจการระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) จะเป็นไปตามกระบวนการควบบริษัทและจัดตั้ง “บริษัทใหม่” หรือ “NewCo” ซึ่งจะใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ คือ BANPU ตามเดิม

โดยจะมีการจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ BPP ในอัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) เบื้องต้น คือ 1 หุ้นเดิมในบริษัทฯ ต่อ 0.35575 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน BPP ต่อ 0.74615 หุ้นในบริษัทใหม่ และบริษัทฯ และ BPP ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นในเรื่องความสมเหตุสมผลของรายการ ซึ่งบริษัทใหม่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2569

อย่างไรก็ตาม จะมีการรับซื้อหุ้นของ BPP เป็นการทั่วไปจากผู้ถือหุ้นรายอื่น (General Offer) ก่อนการดำเนินธุรกรรมการควบบริษัท เพื่อเป็นการเข้าลงทุนเพิ่มสัดส่วนใน BPP ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต และคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนการลงทุนที่ดี โดยคาดว่า จะซื้อหุ้นคืนสัดส่วนราว 21% ในราคา 13 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะใช้วงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดของบ้านปู

สำหรับการควบรวมนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างสินทรัพย์ของ BPP ให้มีกลยุทธ์ที่คมชัดมากขึ้น ลดความซับซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นบริษัทภายในกลุ่ม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความคล่องตัว ความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์ และความรวดเร็วในการตัดสินใจ เพื่อปลดล็อกคุณค่าจากทั้งโอกาสใหม่และทรัพย์สินที่มีอยู่

2.การรวมสินทรัพย์โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เป็นการรวมการถือหุ้นส่วนใหญ่ จำนวนร้อยละ 75 ในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ขนาดกำลังผลิต 1.5 กิกะวัตต์ ไว้ภายใต้บริษัท BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบ้านปูที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) โดย BPP อยู่ระหว่างการเตรียมขายสิทธิการลงทุน (Membership Interests) ร้อยละ 25 ในกิจการร่วมค้า BKV-BPP Power LLC (BKV-BPP) ให้แก่ BKV ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 230.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าประมาณ 7,512 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม BPP ยังคงถือหุ้นร้อยละ 25 ในกิจการร่วมค้าดังกล่าว เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในอนาคต โดยธุรกรรมนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2569 และจะดำเนินการชำระค่าตอบแทนจากการจำหน่ายสิทธิการลงทุนในรูปแบบของเงินสดจำนวนร้อยละ 50 และหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BKV คิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่ารวม

3.แผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ช่วยให้เกิดการจัดระเบียบกลุ่มธุรกิจหลัก ภายใต้กลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ใหม่เป็น 4 เสาธุรกิจ ได้แก่ Next-Gen Mining (เหมืองยุคใหม่) ยกระดับการทำเหมืองด้วยเทคโนโลยี AI และเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแร่แห่งอนาคต ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน US Closed-Loop Gas (ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ) ที่รวมสินทรัพย์ด้านพลังงานก๊าซในสหรัฐฯ ให้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ BKV Power+ (ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง) ขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) การซื้อขายพลังงาน โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโครงสร้างพื้นฐานของก๊าซธรรมชาติ และ Future Tech (เทคโนโลยีแห่งอนาคต) มุ่งเน้นเทคโนโลยีพลังงานที่เชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และนวัตกรรมด้านพลังงาน

“แผนงานในครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถจัดสรรเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้เกิดแนวดำเนินกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจหลักที่ปรับขึ้นใหม่ ได้แก่ Next-Gen Mining (เหมืองยุคใหม่) U.S. Closed-Loop Gas (ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ) Power+ (ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง) และ Future Tech (เทคโนโลยีแห่งอนาคต) เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น สอดรับกับแนวโน้มพลังงานของโลกและกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น ความต้องการ Data Center ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตลอดจนความต้องการพลังงานที่มีความเสถียรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นของเราได้”

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “การควบรวมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยน BPP จากผู้ผลิตไฟฟ้าระดับภูมิภาค สู่แพลตฟอร์มหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มบ้านปู ประกอบกับการขายสิทธิการลงทุนบางส่วนจำนวนร้อยละ 25 ใน BKV-BPP ก็จะช่วยปลดล็อกเงินทุนที่สามารถนำไปใช้ในการลดภาระหนี้หรือการลงทุนใหม่ในโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ได้ ทั้งยังรักษาตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐฯ เพื่อเปิดรับการเติบโตในระยะยาวในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ด้วยบทบาทของเราในฐานะเสาธุรกิจหลัก ‘Power+ (เพาเวอร์ พลัส)’ จะเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงห่วงโซ่คุณค่าพลังงานแบบครบวงจรของกลุ่มบ้านปู เพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน และขยายโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยปลดล็อกคุณค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่สะท้อนในตลาดได้อย่างดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น”

แผนเชิงกลยุทธ์นี้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของบ้านปูไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ ทั้งนี้ ภายในปี 2030 บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 1.5 เท่า ลดสัดส่วนรายได้หรือ EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหินให้ต่ำกว่าร้อยละ 50 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 มากกว่าร้อยละ 20 สำหรับเป้าหมายระยะยาว บ้านปูยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ภายใต้พันธสัญญา “Our Way in Energy” หรือ “พลังบ้านปู สู่พลังงานที่ยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ผ่านการเติบโตอย่างรับผิดชอบ การเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน และ โซลูชันพลังงานที่พร้อมรับมือกับโลกอนาคต

สำหรับความเคลื่อนไหวที่สำคัญในโครงสร้างของกลุ่มบริษัทครั้งนี้ บ้านปู กำลังเร่งผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจไฟฟ้า โดยการรวมสินทรัพย์ด้านโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ไว้ภายใต้ BKV ซึ่งจะเป็นธุรกิจหลักที่สามารถปลดล็อกกลยุทธ์ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ ได้เต็มศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมการผลิตก๊าซธรรมชาติ การดักจับคาร์บอน และการผลิตไฟฟ้า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจก๊าซ แต่ยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปู ภายใต้ BPP จะถูกยกระดับเป็น Power+ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่รวมการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิมและพลังงานใหม่ไว้ภายใต้เสาหลักธุรกิจนี้ ขณะที่การลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และ โซลูชันดิจิทัลด้านพลังงานจะได้รับการบริหารจัดการภายใต้เสาหลักธุรกิจที่ชื่อว่า Future Tech ซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจ ใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และเทคโนโลยีพลังงานที่สามารถสร้างพลังร่วมระหว่างกันได้

อีกทั้ง โครงสร้างใหม่นี้สร้างคุณค่าให้กับบ้านปูใน 3 มิติ อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้าง ทำให้แต่ละธุรกิจหลักของกลุ่มมีความชัดเจน โดยมีการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพเป็นกลไกสนับสนุน ด้านกลยุทธ์ สร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวเร่งการเติบโตและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบ้านปู และด้านการเงิน ช่วยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ในตลาด และยังสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่จะส่งผลให้บ้านปูอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งในระยะยาว พร้อมรับกับโอกาสใหม่ ๆ