ผู้ชมทั้งหมด 109
”บี.กริม เพาเวอร์“ จับมือ “ดิจิทัล เอดจ์” จากสิงคโปร์ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน Digital Edge B.Grimm (TH) ลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและ AI มูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาท ในเขต EEC ลุยระบบไฟฟ้า ระยะแรก 100 เมกะวัตต์ ก่อนเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ใน 5 ปี หวังธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ มีสัดส่วน EBITDA แตะ 20%
ตลาดโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีการบริโภคข้อมูล การใช้บริการคลาวด์ และการประมวลผล AI /แมชชีนเลิร์นนิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานอุตสาหกรรมล่าสุด คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 25% ต่อปีจนถึงปี 2573 ขณะที่ความต้องการด้าน AI จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการผลักดันความต้องการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถขยายตัวได้และมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน รัฐบาลไทยจึงให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค

กลุ่มบริษัท บี.กริม ที่ก่อตั้งมานานกว่า 147 ปี เป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานที่ยั่งยืน และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวให้ทันต่อยุคดิจิทัล โดยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพองค์กรผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค
ล่าสุด บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ประกาศความร่วมมือกับ ดิจิทัล เอดจ์ (สิงคโปร์) โฮลดิ้งส์ จำกัด (“ดิจิทัล เอดจ์”) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในเอเชียที่ได้รับการสนับสนุนจาก Stonepeak นักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก จัดตั้งบริษัทร่วมทุน Digital Edge B.Grimm (TH) Holding Pte. Ltd, มูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาท โดย BGRIM ถือหุ้น 40% (ลงทุนประมาณ 16,000 ล้านบาท) และพันธมิตร ถือหุ้น 60% (ลงทุนกว่า 8,500 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและรองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วไทย ตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และคลาวด์ที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล เริ่มด้วยโครงการเรือธง พัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 100 เมกะวัตต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะนำเสนอการให้บริการโคโลเคชั่นความหนาแน่นสูง การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ และโซลูชั่นคลาวด์แบบผสมผสาน เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มไฮเปอร์สเกล กลุ่ม AI และองค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล โดยมีแผนเร่งก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการ ระยะแรก 48 เมกะวัตต์ ภายในไตรมาส 4 ปี 2569 และระยะที่ 2 อีก 48 เมกะวัตต์ในปี 2570
ความร่วมมือครั้งนี้ BGRIM ดำเนินการด้วยกลยุทธ์ DigitalInfrastructure-as-a-Sevice (DlaaS) ที่เป็นการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จะส่งมอบบริการให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่มใน 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย 1.Data Center 2.Energy Platform-as-a-Service 3.Industrial Digital Services

โดยระยะแรกจะโฟกัสการพัฒนา Data Center ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้พัฒนาและผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลระดับโลกพร้อมโซลูชั่นแบบบรูณาการ ซึ่งจะประกอบด้วย การพัฒนาระบบอาคาร ระบบคูลลิ่ง ระบบเทคโนโลยี และระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ฯ

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า BGRIM กับ ดิจิทัล เอดจ์ จะร่วมมือกันพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ฯ เช่น การหาพื้นที่ที่เหมาะสำหรับรองรับดาต้าเซ็นเตอร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ไฟฟ้า ศึกษากฎระเบียบต่างๆ ที่จะต้องมีการขออนุญาติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 20 ฉบับ และดึงดูดลูกค้า ซึ่งเบื้องต้น มีลูกค้าที่สนใจเข้าใช้บริการแล้ว ทั้งจากสหรัฐและจีน เป็นต้น
นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้ารองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของศุนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ฯ BGRIM ได้ประสานความร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ในการพัฒนาระบบจำหน่าย เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าของBGRIM และตอบสนองต่อการให้บริการไฟฟ้าในรูปแบบของ Direct PPA ที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย
“การลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ เบื้องต้น ต้องใช้เงิน 8-10 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ ในเฟสแรก 96 เมกะวัตต์ จะใช้เงินราว 24,520 ล้านบาท ตามมูค่าการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากBOI ซึ่งยังมีในส่วนของการตกแต่งอาคารอีกกว่า 20,000 ล้านบาทที่จะเป็นในส่วนของลูกค้า รวมก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งในอนาคต มีแผนที่จะผลักดันการพัฒนาไปถึง 300 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี(ปี 2568-2572) คาดว่า จะใช้เงินลงทุนราว 80,000-100,000 ล้านบาท”
ส่วนที่หาของการจัดหาเงินลงทุนในโครงการฯนั้น เบื้องต้น จะเป็นลักษณะเงินกู้โครงการ ราว 70% เป็นเงินกู้ส่วนของผู้ถือหุ้น 30% ซึ่งโครงการนี้ฯ BGRIM ถือหุ้น 40% คิดเป็นเงินลงทุน ประมาณ 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หลังจากการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลแล้วเสร็จเต็มรูปแบบภายใน 5 ปี จะส่งผลให้โครงสร้างรายได้ของ BGRIM เปลี่ยนไป ดังนี้ หลังเปิดดำเนินการ 100 เมกะวัตต์แรก รายได้จากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะสนับสนุนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ราว 10% และหากเปิดดำเนินการครบ 300 เมกะวัตต์ จะจะสนับสนุนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ราว 20%

นายจอห์น ฟรีแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ดิจิทัล เอดจ์ กล่าวว่า ดิจิทัล เอดจ์ เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปิดดำเนินการและอยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 24 แห่ง ครอบคลุม 9 ประเทศ และมีกำลังไฟฟ้าสำรองกว่า 1.1 กิกะวัตต์ การเข้ามาลงทุนในไทยครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและการผลักดัน AI ในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย
โดยความร่วมมือกับ BGRIM ในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นศักยภาพของ BGRIM ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่หลากหลาย และเป็นพันธมิตรท้องถิ่นที่มีประสบการณ์อย่างยาวนาน ประกอบกับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์กำลังเป็นกระแสที่ทั่วโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียให้ความสนใจ และมีอนาคตการเติบโตอีกมาก ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยมีนโยบายผลักดันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โดดเด่น จึงเชื่อมั่นว่าการลงทุนในประเทศไทย

“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพสูงสุดในเอเชีย เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในโครงการสำคัญนี้ เรากำลังนำโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมาสู่ไทย ในขนาดไฮเปอร์สเกลและความเร็วที่เร่งรัด ซึ่งจะช่วยรองรับความต้องการด้าน AI และแมชชีนเลิร์นนิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของไทย”