ผู้ชมทั้งหมด 420
นโยบายการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยท้าทายสำคัญที่เหล่านักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดการณ์ว่า จะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก(GDP) ปี2568 ชะลอตัวลง โดยประเมินว่า GDPโลก ปี 2568 อาจขยายตัวในกรอบ 1.3-2%

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ได้ทำประเมินผลกระทบจากลูกค้าอุตสาหกรรม(IU) ในนิคมอุตสาหกรรม ที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วน 5% ของพอร์ต คาดว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้านิคมอุตสาหกรรม ลดลงประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2567
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลัก อาจส่งผลในเชิงบวกผ่านราคาก๊าซธรรมชาติ สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก(SPP) อาจปรับลดลงเหลือ 320-340 บาทต่อล้านบีทียู จากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 324 บาทต่อล้านบีทียู โดยในปี 2568 BGRIM วางแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ไม่เกิน 5 ลำ ปัจจุบันนำเข้ามาแล้ว 2 ลำ เหลืออีก 3 ลำ ซึ่งจะทยอยนำเข้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อมาช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท

ทั้งนี้ BGRIM จะติดตามสถานการณ์มาตรการภาษี และภาวะชะลอตัวของการค้าโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าอุตสาหกรรมบางราย และจะร่วมกันพัฒนากลยุทธ์ในการตอบสนองและมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างเหมาะสม

นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและบัญชี BGRIM ระบุว่า ในปี 2568 บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และบางส่วนในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2568 ที่ตั้งไว้ประมาณ 10,000–12,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) สำหรับการควบรวมกิจการ (M&A) อีก 2–3 โครงการ คิดเป็นกำลังผลิตรวม 400–600 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ทาง BGRIM อยู่การเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจ Data Center ในประเทศไทย หลังจาก BOI ให้การส่งเสริม คาดว่า ได้ข้อสรุปในไตรมาส 3/2568 อีกทั้ง ยังมีการเจรจากับลูกค้ากลุ่ม Data Center ที่สนใจต้องการซื้อไฟฟ้า 3-4 ราย จากปัจจุบันที่มีลูกค้ากลุ่ม Data Center ในนิคมฯอยู่แล้ว และคาดว่า จะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 5-10 เมกะวัตต์ในปีนี้
นอกจากนี้ ในปี2568 คาดว่าจะมีลูกค้าIU รายใหม่ ที่ใช้ไฟฟ้าในนิคมฯ เพิ่มขึ้น 40-50 เมกะวัตต์ และในไตรมาส 2 นี้ จะเข้ามา 25 เมกะวัตต์ ชดเชยกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากช่วงไตรมาส 2 มีวันหยุดจำนวนมาก รวมถึง นิคมฯ อมตะ ที่มีการขยายพื้นที่เกือบ 6,000 ไร่ แบ่งเป็นเฟสๆ ก็จะมีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างการพูดคุยและก่อสร้างเพิ่มเติม
“แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 อาจปรับลดลงจากไตรมาส 1/2568 เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2 มีวันหยุดมากจึงอาจส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม แต่การเพิ่มขึ้นของลูกค้าIU รายใหม่จะเข้ามาชดเชยได้”

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น 400-500 เมกะวัตต์ มาจากโครงการ โซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ โดยขณะนี้ มีโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) รวม 610.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปี2568 ถึงต้นปี2569 ได้แก่ 1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา (เฟส 1) 18 เมกะวัตต์ 2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ 3. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” 80 เมกะวัตต์ 4. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ 5. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” 27.5 เมกะวัตต์ 6. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” 65 เมกะวัตต์ และ 7. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol 1” 365 เมกะวัตต์
ขณะที่ การเติบโตในระยะยาว BGRIM ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 ตามพันธกิจ “Empowering the World Compassionately – สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” และตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573
