ผู้ชมทั้งหมด 517
สืบเนื่องจาก กระทรวงพลังงาน นำโดย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) EGCO เดินทางไปรัฐอะแลสกา เพื่อพบหารือกับผู้ว่าการรัฐอะแลสกา กรรมาธิการด้านรายได้และกรรมาธิการด้านทรัพยากรธรรมชาติรัฐอะแลสกา ประธานบริษัท Alaska Gasline Development Corperartion และผู้แทนบริษัท Glenfarne ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการลงทุนเพื่อผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวจากรัฐอะแลสกา (โครงการ Alaska LNG) สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568
สำหรับแนวทางการผลักดันความร่วมมือระหว่างไทย กับ สหรัฐฯ นั้น กระทรวงพลังงาน จะมีการพิจารณาปริมาณของการนำเข้าก๊าซจากแหล่ง Alaska LNG ที่มีความเหมาะสม ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 3-5 ล้านตันต่อปี โดยขึ้นอยู่กับราคาและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเจรจา
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ ปตท., กฟผ. และ EGCO ซึ่งเป็นบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตการเป็นผู้ประกอบการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ ( LNG Shipper) ของไทย ให้มีการเจรจาในรายละเอียดของโครงการและพิจารณาความเหมาะสมในเชิงธุรกิจสำหรับการผลักดันความร่วมมือในโครงการ Alaska LNG ร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ ต่อไป

แหล่งอะแลสกา ถือเป็นแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์และได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเข้มแข็ง รวมถึง มีศักยภาพของปริมาณก๊าซสำรองที่พิสูจน์แล้วในพื้นที่ North Slope กว่า 40 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ที่สามารถผลิตและส่งออก LNG ได้กว่า 40 ล้านตันต่อปี และส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียได้อย่างสะดวกผ่านทางมหาสมุทรแปซิฟิกในราคาที่แข่งขันได้ เนื่องจากเป็นแหล่งก๊าซที่มีขนาดใหญ่ ต้นทุนเนื้อก๊าซต่ำ และสหรัฐฯ มีการใช้เครื่องจักรในการผลิตและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะสามารถขนส่ง LNG มายังไทยได้ภายใน 10-15 วัน ในขณะที่ขนส่งจากแหล่งในตะวันออกกลางใช้ระยะเวลาถึง 25-30 วัน
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือEGCO ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่รายแรกของประเทศไทย อยู่ระหว่างศึกษาหาโอกาสการลงทุนใน โครงการ Alaska LNG ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ EGCOจะพิจารณาจัดซื้อก๊าซธรมชาติเหลว(LNG) จากโครงการนี้ในอนาคต เนื่องจาก ปัจจุบัน EGCO มีการนำเข้า LNG เพื่อมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่แล้ว ฉะนั้น อาจจัดซื้อ LNG จากโครงการนี้ เพื่อนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าในไทย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ใสอนาคต แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมต่อไป อีกทั้ง อะลาสก้า ยังมีเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งก๊าซฯ ซึ่งก็เป็นโอกาสและบริษัทก็อยู่ระหว่างการศึกษา หากมีความชัดเจนแล้วจะเปิดเผยให้นักลงทุนทราบต่อไป
“ปัจจุบัน EGCO มีโครงการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งจากนโยบายตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ ก็ทำให้บริษัท มีข้อกังวลในส่วนของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ขณะเดียวกันดีมานด์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังเติบโตขึ้น จึงเป็นโอกาสขายไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้า APEX”
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหรัฐฯ หลังจาก EGCO เข้าถือหุ้น 17.46% ในบริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง แอลแอลซี หรือ APEX ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในอเมริกา เมื่อปี 2564 นั้น ในปี 2567 APEX ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จและขายไปแล้วประมาณ 920 เมกะวัตต์ และมีส่วนที่เก็บไว้ดำเนินการอีก 698 เมกะวัตต์ ซึ่งในปี 2568 มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีแผนทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD) ในปี 2568-2569 อีก 7 โครงการ ประมาณ 800 เมกะวัตต์ ซึ่งจะรับรู้รายได้ทันทีหลังจาก COD แล้ว

ขณะที่ต้นเดือนเม.ย. 2568 EGCO ได้เข้าถือหุ้น 49% ใน “กลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll” ในสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ และคาดว่าเดือน พ.ค.นี้ จะเริ่มจ่ายเงินลงทุน
ดังนั้น แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในเรื่องการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมากจากนโยบายขึ้นภาษี (Reciprocal Tariff) แต่ EGCO ก็ยังมีพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partners) ในสหรัฐอเมริกา ที่พร้อมจะร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ ในสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก ซึ่งถือว่า EGCO ยังมีโอกาสในการเติบโตในตลาดพลังงานของสหรัฐฯ
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัท ยังเดินหน้าขยายการลงทุน ตามงบประมาณที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และก๊าซฯ เพื่อให้บรรลุการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ภายในปี 2573

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 EGCO คาดว่า จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้า(ดีมานด์)ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดีมานด์จากลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI ที่กำลังเติบโตอย่างมาก ส่งผลดีต่อปริมาณการขายไฟฟ้าและราคาค่าไฟ ซึ่งในส่วนของบริษัท ก็มีโครงการลงทุนในสหรัฐ คือ APEX ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD)แล้วในปี 2567 และจะทยอย COD เพิ่มอีกในปีนี้ ประมาณ 800 เมกะวัตต์ รวมถึงจะรับรู้รายได้เต็มปีจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบสมบูรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ในไต้หวัน และการปิดดีลเข้าซื้อหุ้น 50% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ในสหรัฐฯ ที่จะรับรู้รายได้ทันทีหลังปิดดีล
ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Quezon ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Supply Agreement – PSA) ฉบับใหม่ กำลังผลิต 400 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 15 ปี กับผู้จำหน่ายไฟฟ้าขายปลีกรายใหญ่ในประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเริ่มสัญญาใหม่ในไตรมาส 4 ปีนี้ รวมถึง การซื้อ “กลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll” ในสหรัฐฯ ที่คาดว่าเดือน พ.ค.นี้ จะเริ่มจ่ายเงินลงทุน
“ หลังจากปีนี้ EGCO ได้ปิดดีลเข้าถือหุ้น 49% ใน “กลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll” กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ ในสหรัฐฯ ช่วงต้นปีไปแล้ว ปัจจุบัน ยังอยู่ระหว่างเจรจาแผนควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A) อีกหลายโครงการในมือ คาดว่า ในปีนี้ จะสามารถปิดดีลเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งจะมีทั้งลักษณะที่รับรู้รายได้ทันที และ Greenfield ”
อย่างไรก็ตาม หลังจากบริษัท ได้ขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลียออกไป ตามนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวนั้น ปัจจุบัน ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการที่จะดำเนินการตามนโยบาย Asset Recycling เพิ่มเติม ซึ่งก็ยังรอผลการศึกษา เพื่อเตรียมนำเงินที่ได้ไปต่อยอดการลงทุนใหม่ๆ
ส่วนแผนขยายการลงทุนในประเทศไทย ECGO อยู่ระหว่างรอความชัดเจนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ RE Biglot รอบที่ 2 ในรูปแบบ Feed-in Tarff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่ง บริษัทได้รับการคัดเลือกจำนวน 11 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 448 เมกะวัตต์ คาดว่า จะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้

EGCO ยังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อน ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่
• Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้น ด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
• Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 7 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท
• Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,662 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,399 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่งเซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ
