ผู้ชมทั้งหมด 964
GC คาดผลการดำเนินงานปี 65 โตต่อเนื่องจากปี 64 เหตุกำลังการผลิตเพิ่ม พร้อมรับรู้รายได้การเข้ากิจการ allnex และซื้อหุ้นของวีนิไทย แย้มยังมองโอกาสทำดีล M&A โครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ แนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 3
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ Vice President Corporate Finance & Investor Relations บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนQ3/2021 วันที่ 23 พ.ย.2564 โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงจนหลายประเทศได้คลายมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ค่าการกลั่น(GRM) ไตรมาส4 ดีต่อเนื่อง และบริษัทมั่นใจว่าจะดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อให้มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 แม้ว่าบริษัทจะมีแผนปิดซ่อมบำรุงทั้งในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานโอเลฟิน แต่จากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาจากที่แล้วเสร็จในปีนี้ เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) เป็นต้น รวมถึงรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ allnex และการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT ซึ่งจะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานของบริษัท และกำลังการผลิตของบริษัทให้มีการเติบโตระยะยาว
“หากการเข้าซื้อ allnex ปิดดีลได้ตามแผนภายในสิ้นปีนี้ ก็จะทำให้บริษัทมีกำลังการเพิ่มขึ้น 7% และสะท้อนต่อผลประกอบการในปีหน้า”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 บริษัท มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในการ GPSC หลังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 22.73% เหลือ 10% ทำให้มีกำไรเข้ามา 14,000 ล้านบาท ดังนั้น หากจะนำผลการดำเนินงานในปี 2565 มาเปรียบเทียบกับปีนี้ ก็ควรจะหักกำไรพิเศษตรงนี้ออกก่อน และเปรียบเทียบเฉพาะธุรกิจหลักเท่านั้น
ขณะที่งบลงทุนในปี 2565 หรือ ตามแผนการลงทุน 5 ปี (2564-2568) ก็ยังเป็นไปตามที่วางไว้ซึ่งจะใช้เงินไม่มากนัก แต่ใน 10 ปี บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตในธุรกิจHigh Value Product (HVP) จากปัจจุบันมาสัดส่วน 29% เพิ่มเป็น 49% ของพอร์ต โดยยังมองหาโอกาสทำดีลควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A)เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ส่วนความคืบหน้าการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT หากสามารถดำเนินการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ (Tender Offer) ได้ตามแผนในเดือนธ.ค.นี้ ก็คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนก.พ.ปี 2565 และจะเริ่มรับรู้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นไป
นายพนิต แย้มประเสริฐ Financial Analyst Investor Relations บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 72-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว หลังหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจโรงกลั่นฯ มีมาร์จินดีขึ้นตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สายพาราไซลีน (Paraxylene) คาดว่า ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 470-490 ดอลลาร์ต่อตัน สายเบนซีน (Benzene) ราคาเฉลี่ย อยู่ที่ 600-620 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ สเปรดเม็ดพลาสติดชนิดความหนาแน่นสูง(HDPE)กับแนฟทา จะยังรักษาระดับได้ อยู่ที่ 500-510 ดอลลาร์ต่อตัน