GULF คาดผลประกอบการครึ่งหลังปี2568 โตต่อเนื่อง รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทยอยCOD อีก 7 โครงการ กำลังการผลิต 597 เมกะวัตต์ พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit โรงไฟฟ้าก๊าซฯ Jackson ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงามลมเข้าสู่ไฮซีซั่น ลุยนำเข้าLNG อีก 2 ล้านตัน ด้านธุรกิจดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์ ยังโตต่อเนื่อง หนุนรายได้ทั้งปี 2568 โตตามเป้า 25% จากปีก่อน แย้มมีแผนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่ม

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2025 ของ GULF โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก และผลักดันให้ผลการดำเนินงานทั้งปี2568บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีรายได้เติบโตขึ้นประมาณ 25% จากปี 2567 และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) EBITDA เติบโตขึ้น 40% โดยมีปัจจัยสนันสนุนหลักมาจากการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) ของโรงไฟฟ้าใหม่ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ ที่มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 7 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ในช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค.ปีนี้
รวมถึง รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในสหรัฐฯ ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่า Capacity Payment เฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิ.ย.2567 ถึงพ.ค. 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิ.ย. 2568 ถึงพ.ค. 2569 และเพิ่มเป็น 329 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อปี
อีกทั้ง ยังมีรายได้จากโครงการพลังงานลมต่างอีกจำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 437 เมกะวัตต์ จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 จะมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น
ส่วนธุรกิจนำเข้า LNG คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะนำเข้าเพิ่ม 30 ลำ ประมาณ 2 ล้านตัน จากครึ่งปีแรกนำเข้าแล้ว 32 ลำ ประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD HKP และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง และทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จาก shipper fee เพิ่มขึ้น
ขณะที่ธุรกิจดิจิทัล ในส่วนของ AIS คาดว่าผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังจจะเติบโตขึ้น ตามการเสนอแพ็คเกจคอนเท็นต่างๆด้านกีฬา ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลงได้ สำหรับการประมูลคลื่น 210 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เกือบ 3,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ต้นทุนดอกเบี้ยในตลาดที่ลดลงส่งผลดีต่อบริษัท ทำให้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้อีกประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงเดือนก.ย.นี้ ที่จะเสนอให้กับนักลงทุนสถาบันฯ,นักลงทุนรายใหญ่และประชาชนทั่วไปด้วยเพื่อนำเงินไปชำระคืนหุ้นกู้ให้กับสถาบันการเงินและใช้สำหรับขยายธุรกิจต่อไป โดยจะออกหุ้นกู้ระยะเวลา 3 ปี,5ปี,7ปี และ10ปี ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทลดลงได้อีก
ขณะที่ธุรกิจ data center ซึ่งบริษัทฯ ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3ปีนี้ และมีแผนขยายการเติบโตเฟส 3-4 โดยตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 200-300 เมกะวัตต์ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

“สำหรับโอกาสใหม่ๆ บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าโซลาร์ฯ ,โซลาร์+แบตเตอรี่ และลม รวมถึงมีจะมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าเขื่อนอีกมาก นอกจากนี้ ยังศึกษาโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าก๊าซฯในสหรัฐอีกหลายโครงการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัท อย่างไรก็ตาม จากโครงการต่างๆที่มีอยู่ในมือ จะทยอยCOD ต่อเนื่องทุกปีและสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับบริษัทต่อเนื่องไปอีก 8-9 ปีข้างหน้า ฉะนั้น เป้าหมายที่เคยคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปีใน 5 ปีนั้น เป็นไปได้อย่างแน่นอน”
สำหรับความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการถมทะเลเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดว่า จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ไตรมาส 1 ปี2572 ซึ่งจะรองรับการนำเข้า LNG ได้อีก 8 ล้านตันต่อปี
อีกทั้งโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเทียบเรือในช่วงปลายปีนี้ โดยหลังจากเปิดดำเนินการฯก็จะมีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง