GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 3/68 จำนวน 7,280 ลบ. สูงสุดเป็นประวัติการณ์

Loading

GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 3/2568 จำนวน 7,280 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากธุรกิจพลังงาน และส่วนแบ่งกำไรจาก AIS

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ในขณะที่โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 เป็นช่วง high season ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่งผลให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในประเทศไทย และโครงการ BKR2 ในประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น

สำหรับปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นอีกจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภายในประเทศเพิ่มเติมอีก 6 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 623 เมกะวัตต์ รวมถึงการเปิดดำเนินการของโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี (CM WTE) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ในเดือนพฤษภาคมปี 2569 ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 50 เมกะวัตต์ ในปี 2569 นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้า data center เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทยอยปลดระวางลง โดยค่า Capacity Payment จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงกลางปี 2569 จาก 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 329 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในส่วนของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 3/2569

ส่วนของธุรกิจก๊าซ ในปี 2569 กลุ่มบริษัทฯ มีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จาก shipper fee นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์ LNG optimization เพื่อบริหารจัดการการนำเข้า การขนส่ง และการจำหน่าย LNG อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2569 จะได้รับแรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลรับจาก AIS ที่เพิ่มขึ้น ตามผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากการขยายฐานผู้ใช้บริการ 5G การเพิ่มขึ้นของ ARPU และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนการใช้คลื่นความถี่ที่ลดลงภายหลังจากการชนะการประมูลคลื่นความถี่ 2100 MHz

ขณะที่กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในปี 2569 โดยจะเป็นปีแรกที่บริษัทฯ รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการ GSA01 ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูล (data center) ขนาด 25 เมกะวัตต์ ที่บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ภายหลังจากที่ได้เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่โครงการ GSA02 ซึ่งมีขนาด 38 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาและมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2570 โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายกำลังการให้บริการศูนย์ข้อมูลเป็น 300-500 เมกะวัตต์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย

สำหรับธุรกิจคลาวด์ (cloud) บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับ AIS ภายใต้บริษัทฯ G-AIS เพื่อให้บริการระบบคลาวด์ทั้งในรูปแบบ public cloud และ private cloud โดยร่วมมือกับ Oracle Alloy, Google และ Microsoft ในการให้บริการระบบคลาวด์และพัฒนาโซลูชันด้านดิจิทัลร่วมกัน เพื่อขยายการเข้าถึงนวัตกรรมคลาวด์และเทคโนโลยี AI ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งด้าน cybersecurity เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล

GULF ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และพลังงานขยะ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของบริษัทฯ ไปจนถึงปี 2576 ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งที่เปิดดำเนินการแล้วประมาณ 16,000 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกประมาณ 9,000 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน สอดคล้องกับเป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจดิจิทัลในระยะยาว จากการขยายตัวของธุรกิจ data center และ cloud โดยบริษัทฯ มีความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพด้านพลังงาน และเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านดิจิทัลของภูมิภาคต่อไป”

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 มีรายได้รวม (total revenue) อยู่ที่ 30,177 ล้านบาท ลดลง 26% จาก 40,617 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ของกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่ลดลงตามฤดูกาล ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เพิ่มขึ้น 3% จาก 7,101 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 7,280 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ และกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2% จาก 13,432 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 13,641 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยในไตรมาส 3/2568 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาส 2/2568 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน B-Inspection เป็นระยะเวลานานกว่าช่วงไตรมาส 3/2568

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาค่า Ft โดยราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 317.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2568 เป็น 298.0 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่ Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2568 เป็น 0.18 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 316% จาก 134 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน เนื่องจากโครงการรับรู้รายได้ค่า Capacity Payment ที่เพิ่มขึ้นเต็มไตรมาสในไตรมาส 3/2568 โดยค่า Capacity Payment เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 154% จาก 91 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 230 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 5.7 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่โครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit เพิ่มขึ้น 40% จาก 46 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 65 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากที่มีความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 7.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 8.0 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้กำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ที่ลดลงเล็กน้อยจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากทั้งสองโครงการดังกล่าวมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน A-Inspection ในระหว่างไตรมาส ประกอบกับปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ลดลงตามความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศที่ชะลอตัวตามฤดูกาล โดย GPD มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 75% ในไตรมาส 2/2568 เป็น 45% ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ HKP มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 87% ในไตรมาส 2/2568 เป็น 80% ในไตรมาสนี้

ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 199 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2568 ลดลง 4% จาก 208 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ โดยราคาน้ำมันเตาลดลงจาก 70.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2568 เป็น 66.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้ GLNG และ HKH ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้นำเข้า LNG มาแล้วจำนวนรวม 42 ลำ หรือประมาณ 2.85 ล้านตัน

ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน AIS จำนวน 3,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จาก 3,483 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS จากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ทั้งจากธุรกิจโทรศัพท์มือถือและธุรกิจ Fixed Broadband ประกอบกับต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงจากการลดลงของต้นทุนการใช้คลื่นความถี่ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค และค่าบำรุงรักษาโครงข่าย สำหรับเงินปันผลรับจากการลงทุน ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากเงินปันผลที่ลดลงจาก 1,044 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 276 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2568 โดยหลักเป็นผลมาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนใน KBANK ที่น้อยลงจาก 977 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 215 ล้านบาท ในไตรมาส 3 นี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2568 จำนวน 13,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับ 13,432 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในไตรมาส 3/2568 เท่ากับ 7,274 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 752,800 ล้านบาท หนี้สินรวม 398,589 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 354,211 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 0.85 เท่า ลดลงจาก 0.87 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ

Borkum Riffgrund is MHI Vestas’ first offshore wind project in the German North Sea. The 450MW project is the first German offshore wind farm to feature 8MW turbines and suction bucket jacket foundations. Borkum Riffgrund provides enough clean energy to power more than 460,000 German homes.