ผู้ชมทั้งหมด 178
ปตท.สผ. ปรับเพิ่มเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียม ปี68 แตะระดับ 5.12-5.17 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน รับรู้กำลังผลิตเพิ่มหลายโครงการ คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2568 อยู่ในกรอบ 65-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาก๊าซ LNG ลดลงอยู่ที่ 5.8 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง จากนโยบายเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ,ความต้องการใช้พลังงานในอนาคต,การทยอยเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโอเปกพลัส กลายเป็นปัจจัยกดดันต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงไตรมาส 2 ปี2568 อยู่ที่ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาส ปี 2568 อยู่ที่ 77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 2568 ของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) มีกำไรสุทธิ 30,067 ล้านบาท (เทียบเท่า 895 ล้านดอลลาร์ สรอ.) ลดลง 24% จากราคาขายที่ลดลง 5% ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ลดลง
ขณะที่ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบช่วงที่เหลือของปี 2568 ด้านอุปสงค์ คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวลง อยู่ที่ 104 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปทานจะเพิ่มมากขึ้น โดยหลักจากกลุ่มโอเปกพลัส อยู่ที่ 105 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อุปทานเกินดุลอยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน กดดันราคาน้ำมันช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 65-75 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล

ขณะที่ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบช่วงที่เหลือของปี 2568 ปตท.สผ. ประเมินว่า ด้านอุปสงค์ คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวลง อยู่ที่ 104 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปทานจะเพิ่มมากขึ้น โดยหลักจากกลุ่มโอเปกพลัส อยู่ที่ 105 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อุปทานเกินดุลอยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน กดดันราคาน้ำมันช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 65-75 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล

นายเสริมศักดิ์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน ปตท.สผ. ระบุว่า ทิศทางการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2568 บริษัทยังคงจับตามองผลกระทบจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งในพอร์ตการลงทุนของบริษัทจะมีน้ำมันอยู่ 30% และก๊าซฯ อีก 70% โดยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทุก 1 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล จะส่งผลต่อกำไรของบริษัท ประมาณ 34 ล้านดอลลาร์ฯ ส่วนก๊าซฯอีก 70% จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้น บริษัทได้บริหารจัดการโดยลดต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ขณะที่ แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 ปี2568 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้น หลังจากมีการซื้อกิจการแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(MTJDA) สัดส่วน 50% ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขายได้ทันทีนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากงวดไตรมาส 2/68 โดยประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปริมาณการขายจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 5.15 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี2568 คาดปริมาณการขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากการเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในภูมิภาคประเทศแอลจีเรีย,โอมาน และมาเลเซีย
ส่งผลให้ทั้งปี 2568 บริษัทได้ปรับเป้าหมายปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 5.12-5.17 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากเดิมที่คาด 5.05-5.10 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และเติบโตจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 4.89 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายโครงการ เช่น โครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ที่มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (จากเดิม 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) รวมถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกโครงการสินภูฮ่อมและโครงการแปลง A-18
“ปตท.สผ.มั่นใจว่า ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะสามารถรักษาอัตราการผลิตปิโตรเลียมให้เติบโตเฉลี่ย 2-3% ต่อปีได้”
ส่วนแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติในไตรมาส 3 ปี2568 และทั้งปี 2568 คาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 5.8 ดอลลาร์ต่อล้านBTU ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 และมีต้นทุนต่อหน่วย(Unit Cost) เฉลี่ยอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบรวมถึงอัตรากำไรที่ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายได้ (EBITDA Margin) คาดว่าจะรักษาระดับอยู่ในช่วง 70-75% ใกล้เคียงปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับที่บริษัทสามารถรักษาได้ตลอดมา
ส่วนทิศทางราคา LNG Spot ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่า จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12-14 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 11.9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากภาวะอุปสงค์ที่มากกว่าอุปทาน ตามความต้องการใช้ LNG ที่เพิ่มขึ้นทั้งในเอเชียและยุโรป

นายเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กรณีที่สหรัฐฯประกาศ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อก๊าซฯที่ขายในประเทศ แต่ในทางอ้อมจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ส่วนกรณีไทยเตรียมนำเข้าLNG จากสหรัฐฯนั้น ในส่วนของ ปตท.สผ.เป็นการผลิตก๊าซฯจากแหล่งในประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่าการนำเข้า LNG ฉะนั้น การรักษาอัตราการผลิตหรือการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯของ ปตท.สผ.จะช่วยทดแทนการนำเข้า LNG ดังนั้น การบริหารจัดการ LNG ที่อาจจะเข้ามาของสหรัฐฯจะไปอยู่ในพอร์ตของประเทศ ซึ่งไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อ ปตท.สผ.
สำหรับความคืบหน้า โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID)แล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ใน 3 ปี โดยหลังจากการนำก๊าซธรรมชาติจากหลุมใต้ดินขึ้นมาใช้หมดแล้ว จะนำของเหลือที่ไม่ต้องการ เช่น CO2 ซึ่งถูกดักจับไว้และจะถูกอัดกลับลงในหลุมที่ว่าง เพื่อกักเก็บถาวรในชั้นหินใต้ดินลึกลงไปมากกว่าพันเมตร คาดว่าจะสามารถลดการปล่อย CO2 ประมาณ 700,000–1,000,000 ตันต่อปี
ส่วนโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งของประเทศโมซัมบิก ปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องการทบทวนแผนงานและงบประมาณการลงทุน ที่ได้เริ่มพูดคุยกับผู้ดำเนินโครงการฯ คือ โททาล แล้ว และโครงการอยู่ระหว่างเริ่มการก่อสร้างในพื้นที่ คาดว่า ครึ่งปีหลังนี้จะมีความชัดเจนในรายละเอียดมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2568 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 148,531 ล้านบาท (เทียบเท่า 4,431 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.)) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 494,552 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการมาเลเซีย แปลงเค ที่มีการขายน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อมเมื่อเดือนเมษายน 2568 ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ที่ 30.9 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 30,067 ล้านบาท (เทียบเท่า 895 ล้านดอลลาร์ สรอ.)
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2568 ที่ 4.10 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม 2568
