ผู้ชมทั้งหมด 404
“ราช กรุ๊ป” ตั้งงบลงทุนปี 2567 อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการในมือ พร้อมเล็งปิดดีล M&A ธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศ ดันกำลังผลิตใหม่เข้าพอร์ตไม่ต่ำกว่า 700 เมกะวัตต์ เพิ่มสัดส่วนผลิตพลังงานหมุนเวียนแตะ 33-35% หนุน EBITDA เติบโต 5% แย้มสิ้นปีนี้ จ่อปิดดีลใหม่ 2 โครงการ
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2023/12/S__150691984_0-1024x768.jpg)
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัท ตั้งงบลงทุนปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาราว 8,000 ล้านบาท และใช้ลงทุนในโครงการใหม่รวมถึงแผนการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) ราว 7,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนขยายการลงทุนโครงการใหม่และการทำดีล M&A ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางเป้ามีกำลังการผลิตใหม่ในปีหน้าอีกกว่า 700 เมกะวัตต์ จากการขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้ากรีนฟิลด์ในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแตะ 33-35% ในปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 27% รวมถึงยังมีแผนขยายธุรกิจอื่น ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน และเฮลธ์แคร์ เพื่อผลักดันรายได้ และ EBITDA ให้เติบโต
“ปี 2567 บริษัทตั้งเป้า EBITDA เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ คาดว่าจะมี EBITDA อยู่ที่ราว 1.2 หมื่นล้านบาท ตามการรับรู้รายได้และกำไรจากการลงทุนที่เข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทยังการทำดีลM&A เพื่อให้รับรู้รายได้เข้ามาทันที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเน้นโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศ การลงทุนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และเฮลธ์แคร์”
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2023/12/S__150691983_0-1024x768.jpg)
โดยปี 2567 บริษัท จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้น 459.06 เมกะวัตต์ (MW) จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ในเดือนมี.ค.2567 ปัจจุบัน ได้ดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว ผ่านทางบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว ระยะเวลา 3 ปี กับบริษัท Gunvor Singapore Pte. Ltd. โดยจะมีการส่งมอบในปริมาณปีละ 0.5 ล้านตัน และการส่งมอบครั้งแรกจะดำเนินการในเดือน มี.ค.2567, โครงการโรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น กำลังผลิตติดตั้ง 31.2 MW มีกำหนด COD เดือนม.ค.2567, โครงการโรงไฟฟ้าสหโคเจนใหม่ กำลังผลิต 79.5 MW คาด COD เดือน เม.ย.2567 , โครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนคร ส่วนขยายระยะที่ 3 กำลังผลิตติดตั้ง 30 MW คาด COD เดือน ธ.ค.2567
ปัจจุบัน บริษัทศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่และพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จ และเดินเครื่องได้ทันกำหนดเวลาตามที่สัญญาระบุไว้ โดยช่วงปี 2567 -2576 จะมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนทยอยCOD รวม 2,918.23 เมกะวัตต์
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2023/12/S__150691982_0-1024x768.jpg)
สำหรับความคืบหน้าแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศนั้น ในส่วนของประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นฐานธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญ โดยมีบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและลงทุน บริษัทเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเสริมความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังจะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593
บริษัทศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพมาก โดยมีแนวคิดยกระดับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้บริการผลิตไฟฟ้าเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 152 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 81 เมกะวัตต์ ในรัฐนิวส์เซาท์เวลส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ตลอดจนการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาด 100 เมกะวัตต์ เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนและจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง
ส่วนเวียดนาม บริษัทได้ศึกษาศักยภาพและโอกาสการลงทุนจากจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 ของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตถึง 150 กิกะวัตต์ โดย 40% จะเป็นพลังงานทดแทน ปัจจุบัน บริษัทดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุนในการขยายฐานธุรกิจ โดยศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม อีกทั้งยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเช่นกัน
และในฟิลิปปินส์ บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เนโกรส คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 67 โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในอ่าวซานมิเกล และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า บนเกาะลูซอน คาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างได้ในปี 68
“ปัจจุบัน สถานะการเงินของบริษัท อยู่ในระดับแข็งแกร่ง และปี2567 ยังมีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ บอร์ดบริษัท ได้อนุมัติแผนระดมทุนวงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งได้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้ว 8,000 ล้านบาท ฉะนั้นยังเหลือวงเงินที่จะออกหุ้นกู้ได้อีก 7,000 ล้านบาท”
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2023/12/S__150691980_0-1024x768.jpg)
นางสาวชูศรี กล่าวอีกว่า ช่วงสิ้นปี 2566 บริษัท คาดหวังจะสามารถปิดดีลลงทุนใน 2 โครงการ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และ Non-Power ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ที่เกิดจากการ M&A เพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 พันล้านบาท แต่หากไม่สามารถปิดดีลดังกล่าวได้ในปีนี้ ก็คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 1 ปี 2567
ส่วนนโยบายของภาครัฐที่ต้องการดูแลอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนนั้น บริษัทมองว่าการจัดสรรงบกลางเพื่อนำมาดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม ส่วนอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงในภาครวมนั้น จะมีผลกระทบต่อการจำน่ายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม(IU) ซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึง 20% ขณะเดียวกันในปี2567 ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ มีแนวโน้มลดลงจากปีนี้ จากการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯในแหล่งเอราวัณที่จะเพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนเม.ย.2567 แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า ภาครัฐก็ควรเปิดการพัฒนาแหล่งก๊าซฯใหม่เพิ่มเติม เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเฉพาะการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ก็จะเป็นผลดีต่อทั้ง 2 ประเทศ