ผู้ชมทั้งหมด 573
‘ราช กรุ๊ป’ โชว์ความสำเร็จในการเพิ่มทุน มูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท พร้อมลุยสร้างการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ปักธงสู่ผู้นำพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดันมูลค่ากิจการแตะ 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 ขณะที่ปี 2565 วางงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/06/S__137429656-1-1024x578.jpg)
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH หรือ บริษัทฯ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำหุ้นเพิ่มทุนเข้าซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งช่วยให้ RATCH สามารถสานต่อแผนการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยมุ่งขยายการเติบโตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าไปสู่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว และยกระดับองค์กรสู่ “บริษัทชั้นนำด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้รวมประมาณ 25,000 ล้านบาท สำหรับรองรับการปรับโครงสร้างเงินทุน โดยนำไปชำระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและคงอัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (CREDIT RATING AGENCIES) รวมถึงรองรับแผนการขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้กระจายการลงทุนไปยังโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว ซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ 20% ของงบลงทุน พร้อมสร้างฐานธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้การขยายและต่อยอดการลงทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
บริษัทฯ มีเป้าหมายระยะยาวที่จะก้าวสู่ผู้นำพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 MW ซึ่งจะมีสัดส่วนกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนถึง 25% ภายในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% อีกทั้งวางเป้าหมายเพิ่มมูลค่ากิจการแตะ 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายยกระดับการจัดการด้านความยั่งยืนโดยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ 6 แนวทางในการดำเนินงาน เพื่อไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งสอดรับกับแนวทาง ESG โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อเนื่องทุกปี การกระจายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน การปลูกป่าเพื่อสร้างแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน และจำกัดเพดานการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหิน ด้วยแนวทางดังที่กล่าวมา บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะช่วยจำกัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้ภาพรวมสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ที่เป็นแรงหนุนต่อราคาพลังงานในตลาดโลกจะทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อ RATCH อย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากสามารถส่งผ่านราคาต้นทุนเชื้อเพลิงไปสู่ผู้รับซื้อไฟฟ้ารายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จึงไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานในปัจจุบัน
ส่วนแผนดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศไทยนอกจากการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนแล้ว ยังมุ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ประเภทโคเจนเนอเรชั่น ที่จะช่วยสร้างการเติบโตและเพิ่มมูลค่ากิจการในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าประมาณ 28,000 ล้านบาท คิดเป็น 93% ของงบลงทุน แบ่งเป็น งบลงทุนโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 7% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท จะใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือไปจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า