ผู้ชมทั้งหมด 989
SCGP ลุยลงทุนไตรมาส 4 กว่า 3,000 ล้านบาท ขยายฐานการเติบโต มั่นใจปีนี้รายได้จากการขายทะลุแสนล้านบาท เตรียมบันทึกรายได้โครงการ M&P เต็มปี 1.8 หมื่นล้านบาทในปี65
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัท คาดว่าในปี 2564 จะสามารถทำรายได้จากการขายมากกว่า 100,000 ล้านบาท และใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจมากกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน หลังจากช่วง 9 เดือนของปีนี้ ใช้เงินลงทุนได้แล้วกว่า 17,000 ล้านบาท ยังเหลืออีกประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ลงทุนในช่วงที่เหลือไตรมาส 4 ของปีนี้
ขณะเดียวกัน บริษัท ยังมีดีลการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการเจรจา คาดว่าจะปิดได้สำเร็จในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ได้แก่ การเข้าถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในประเทศสเปน
อีกทั้งยังได้ดำเนินการสร้างการเติบโต (Organic Expansion) ด้วยงบการลงทุน 11,793 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการเติบโตด้วยการสร้างฐานการผลิตใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม และศึกษาโอกาสทางการตลาดทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยมอว่า ตลาดส่งออกในภูมิภาคเอเชียยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะจีน และโซนอินเดีย ซึ่งบริษัทกำลังให้ความสนใจมากขึ้น และทีมงานก็อยู่ระหว่างการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ รวมถึงเรื่องของเทคโนโลยี ทางฝั่งอเมริกาฯก็น่าสนใจเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจทั่วโลกต่อไป
นายวิชาญ กล่าวอีกว่า การเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม และจะส่งผลให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศเกิดการใช้จ่าย ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ซึ่งธุรกิจแพคเกจจิ้งจะได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวด้วย ขณะที่บริษัทก็มีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ในประเทศราว 30% ก็จะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ นอกจากนั้นกลุ่มผู้ค้าในประเทศหรือกลุ่มหาเช้ากินค่ำ ก็จะกลับมาค้าขายก็จะเกิดการใช้แพคเกจจิ้งเพิ่ม
ส่วนต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้บริหารจัดการด้วยโซลูชั่นใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงมีเครือข่ายจัดหาวัตถุดิบทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพและแข่งขันได้ ทำให้บริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ยังคงเป้าหมายมีรายได้จากการขายเติบโต ภายใน 5 ปี หรือ อีก 4 ปีจากนี้ อยู่ที่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท โดยรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่าในช่วง 9 เดือนของปีนี้ สัดส่วยรายได้ต่างประเทศ จะมากกว่าในไทยแล้ว โดยแบ่งเป็น รายได้จากการดำเนินงานในแถบเอเชีย มีสัดส่วน 39% การส่งออก 16% ขณะที่ไทย อยู่ที่ 45% ตามนโยบายขยายตลาดเพิ่มเติมในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศจะเติบโตมากขึ้นในอนาคต
“ที่ผ่านมา บริษัทพยายามรักษาเป้าหมายมี EBITDA Margin ให้เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20% ต่อปี อย่าง 9 เดือนปีนี้ ก็อยู่ที่ ประมาณ 18% ก็บรรลุเป้าหมาย”
ส่วนเป้าหมายรายได้ฯในปี 2565 คาดว่ารายได้ฯจะอยู่ในเชิงบวก หลังคาดว่า บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการ (M&P) ในช่วงที่ผ่านมาจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ Duy Tan , SOVI และ Go-Pak ประเทศเวียดนาม อีกทั้ง Intan Group ประเทศอินโดนีเซีย และ Deltalab ประเทศสเปน ที่คาดว่าจะปิดดีลได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งทั้ง 5 โครงการ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565 รวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทต่อปี
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวด 9 เดือนแรกของปี 2564 สามารถรักษาอัตราเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 6,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 15,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น เกิดจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันยังเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารและผลไม้กระป๋อง อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย และผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลบ้าน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป และภูมิภาคอื่น ๆ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ยังคงมีการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนานวัตกรรมให้มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน