ผู้ชมทั้งหมด 23
SCGP เดินแผนรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เสริมแกร่งโซลูชันบรรจุภัณฑ์ รับดีมานด์ในภูมิภาคที่เติบโตต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์เชิงรุก “ห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น” รับมือนโยบายภาษี คาดผลศึกษาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ รับมือขึ้นภาษีได้ข้อสรุป หลังจากสหรัฐฯเคาะอัตราภาษี ลุ้นปิด 1 ดีลM&P ช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.25 บาท/หุ้น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลัง คาดว่าอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้าในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป
“คาดว่า อัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บกับประเทศที่เหลือจะอยู่ในกรอบ 15-20% ก็จะทำให้เศรษฐกิจที่หยุดชะงักไป กลับมาเติบโตขึ้น หลังอัตราภาษีมีความชัดเจน และจะทำให้บรรจุภัณฑ์เชื่อมโยงกับผู้บริโภคยังคงไปต่อได้”
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุด ได้ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอาเซียนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคตามกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการแข่งขันในระยะยาว
ด้านการรับมือมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ปัจจุบัน SCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ประมาณ 4% ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มการขายบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้าและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้า และการพิจารณาการจ้างผลิต เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ในแต่ละตลาด

ขณะที่ความคืบหน้า กรณีที่บริษัท มีแนวคิดศึกษาจัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับการลงทุน บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบแข็งตัว (Rigid Packaging) เช่น ถ้วย ถาดอาหาร แก้วพลาสติก เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) นั้น ล่าสุด วันนี้ ได้เจรจากับพันธมิตร 1 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุป ภายหลังจากที่สหรัฐฯ เคาะอัตราภาษีที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การจะเข้าไปลงทุนนั้น จะต้องไปพร้อมกับความร่วมมือกับพันธมิตร แต่คงไม่ใช่ลักษณะการควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A)
SCGP เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ AI อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต ลดต้นทุน และเสริมความยั่งยืนระยะยาว โดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น Robotic Automation ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ และบริหารการผลิตระหว่างโรงงาน (Cross-plant Allocation) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลด Lead Time ฯลฯ ช่วยลดต้นทุนและสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวม 120 ล้านบาทในครึ่งปีแรก
“ปีนี้ บริษัท ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วประมาณ 6,000 ล้านบาท ฉะนั้นงบลงทุนที่เหลือก็น่าจะใช้สำหรับปิดดีล M&P หรืองบบางส่วนไปใช้ในปีหน้า อย่างไรก็ตามคาดว่า EBITDA margin ทั้งปีนี้ จะเติบโตตามเป้าหมาย เนื่องจากคาดการณ์ว่า ยอดขายยังเติบโต แม้ว่าราคาอาจลดลง”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยจะขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลวันที่ 27 สิงหาคม 2568
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ภูมิภาคอาเซียนในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเร่งส่งออกสินค้าของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงกำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตต่อเนื่อง
SCGP ได้วางกลยุทธ์เติบโตภายในประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขายสินค้ากลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยเฉพาะในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ราคาส่วนใหญ่ยังทรงตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ ปริมาณการขายลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะธุรกิจในอินโดนีเซียที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ และปรับสัดส่วนการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ภายในประเทศ และบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ถึงจุดคุ้มทุนตามเป้าหมาย และส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทำให้ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลง 2% EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568