TDRI แนะ “รัฐ” เร่งสร้างกลไกกลางกำหนดราคาอ้างอิงโครงการรับซื้อไฟฟ้า

ผู้ชมทั้งหมด 220 

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ตั้งข้อสังเกตุสัญญาไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์กับข้อผิดพลาดในการอ้างอิงราคาเป็นความเสี่ยงที่ต้องเร่งคลี่คลาย แนะสร้างกลไกกลางกำหนดราคาอ้างอิงที่สะท้อนต้นทุนจริง หนุนการปฏิรูประบบไฟฟ้าสู่ TPA

ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงานทีดีอาร์ไอ ได้เขียนบทความกรณีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดราคาซื้อขายให้สาธารณะรับทราบล่วงหน้า จนทำให้เกิดคำถามต่อความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อ

โดยระบุว่า ในช่วงกลางปี 2568 ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการเร่งลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ให้เอกชนที่ได้รับคัดเลือก ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 2,180 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรอบ 3,600 เมกะวัตต์ ภายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดราคาซื้อขายให้สาธารณะรับทราบล่วงหน้า สร้างกระแสคำถามต่อความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้ออย่างกว้างขวาง

สัญญาดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ “ราคาอ้างอิง” ที่มาจากโครงการ Solar Floating และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ดำเนินการโดย กฟผ. เป็นเกณฑ์ในการกำหนดราคาของโครงการซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนนั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะโครงการของกฟผ. เป็นโครงการเฉพาะที่ประเมินจากสมมุติฐานทางเทคนิคและการเงินของหน่วยงานรัฐ  นอกจากนั้นมีลักษณะและต้นทุนที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี แหล่งทรัพยากร และภูมิประเทศ ดังนั้นการกำหนดราคาอ้างอิงนี้จึงไม่สอดคล้องและไม่สะท้อนต้นทุนที่เป็นธรรมของผู้ผลิตไฟฟ้า และจะกระทบต่อค่าไฟของประชาชน

ข้อกังวลดังกล่าวนำไปสู่สถานการณ์ความไม่แน่นอนในภาคเอกชน ผู้ผลิตหลายรายยังไม่สามารถตัดสินใจลงนามสัญญาภายในกรอบเวลาที่กำหนด เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าราคาซื้อไฟที่ใช้จะสะท้อนต้นทุนจริงและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมหรือไม่ ความไม่ชัดเจนนี้ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงนามออกไป ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อแผนธุรกิจของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบในระดับประเทศ

ผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอโครงการต้องแบกรับภาระต้นทุนในหลายด้าน ได้แก่

  • ต้นทุนการดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น ค่าเช่าที่ดิน ภาษีที่ดิน ค่ารักษาสภาพพื้นที่ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านระบบรักษาความปลอดภัยและการดูแลโครงสร้างเบื้องต้นที่อาจสร้างไว้แล้ว โดยไม่มีรายได้จากการขายไฟฟ้า
  • ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจำนวนมากได้ดำเนินการเปิดวงเงินสินเชื่อไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ทันกับกำหนดเวลา แต่กลับไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ ส่งผลให้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมผูกพัน (commitment fee), ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน, ค่าธรรมเนียมรับจดทะเบียนสัญญา และดอกเบี้ยเบื้องต้นโดยไม่ได้ใช้เงินกู้จริง
  • การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ จากการที่ทรัพยากรทั้งคน อุปกรณ์ ที่ดิน และพันธสัญญากับผู้รับเหมา ถูกผูกไว้กับโครงการที่ไม่สามารถเดินหน้า ส่งผลให้เกิดต้นทุนจม รายได้ที่หายไป และทำลายความเชื่อมั่นในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจพลังงานสะอาดโดยรวม

ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในระดับผู้ประกอบการรายโครงการ แต่เป็นผลกระทบในระดับประเทศ ทั้งในด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความสามารถในการแข่งขัน และการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด โดยสามารถสรุปผลกระทบเชิงระบบได้ดังนี้

  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ความไม่แน่นอนด้านนโยบายสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานสะอาดที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและคืนทุนในระยะยาว จะเริ่มชะลอหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนในประเทศไทย ส่งผลให้แหล่งเงินทุนภาคพลังงานสะอาดหดตัวลงในระยะยาว
  • พลาดโอกาสลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ความล่าช้าในการนำพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจะทำให้ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งราคาผันผวนและเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ โครงสร้างต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศจึงยังผูกติดกับความไม่แน่นอนภายนอก
  • ตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรมได้ไม่ทัน ภาคอุตสาหกรรม และผู้ส่งออกจำนวนมากกำลังเผชิญข้อกำหนดใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป หากโครงการผลิตไฟฟ้าสะอาดภายในประเทศล่าช้า จะทำให้ผู้ประกอบการขาดทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าสีเขียว ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่ม และขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อก้าวข้ามวิกฤตความไม่แน่นอนนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ควรเปิดการหารือร่วมกันอย่างจริงจังบนหลักฐานเชิงต้นทุนที่ชัดเจน แยกแยะประเภทโครงการอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้ราคาอ้างอิงจากโครงการที่มีบริบทต่างกันโดยไม่มีการปรับเปรียบอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้

  • สร้างกลไกกลางในการกำหนดราคาอ้างอิงที่สะท้อนต้นทุนจริง โดยใช้ข้อมูลทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน และไม่ผูกติดกับต้นทุนเฉพาะของ กฟผ.
  • ส่งเสริมให้เอกชนเปิดเผยข้อมูลต้นทุนในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้กระบวนการพิจารณาราคาโปร่งใส เป็นธรรม และเปิดให้เกิดการแข่งขัน

การรักษาเสถียรภาพของระบบนโยบายพลังงานไม่เพียงจำเป็นต่อการส่งเสริมการลงทุน แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ประเทศไทยตั้งเป้าไว้ในระยะยาว

ข้อเสนอเชิงกลไก

  • กพช. ควรทำหน้าที่เป็นเวทีกลั่นกรองเชิงนโยบาย เมื่อมีการดำเนินโครงการที่ส่งผลต่อราคาค่าไฟในระยะยาว หรือมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด โดยควรเปิดรับฟังข้อมูลจาก กกพ. สนพ. ผู้ประกอบการ และภาคประชาชนอย่างรอบด้าน
  • กระทรวงพลังงานควรมีบทบาทเชิงรุก ในการสื่อสาร และชี้แจงทิศทางนโยบายต่อสาธารณะ รวมถึงประสานระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้แนวนโยบายและการกำกับดูแลมีความสอดคล้องกัน ลดความเสี่ยงด้านการกำหนดราคาที่ไม่โปร่งใส
  • ควรจัดให้มีรายงานประเมินผลกระทบนโยบายต่อผู้ใช้ไฟฟ้า (Policy Impact Assessment) อย่างเป็นระบบ เพื่อประกอบการตัดสินใจในระดับ กพช. และสร้างหลักประกันว่าผลประโยชน์ของประชาชนจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

การมีบทบาทร่วมกันของกระทรวงพลังงาน กพช. สนพ. และ กกพ. เป็นกลไก “เชื่อมโยงยุทธศาสตร์กับกลไกกำกับ” ที่จะเสริมสร้างธรรมาภิบาล และทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าสู่ระบบพลังงานที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง.

มองไปข้างหน้า: การเปิดเสรีผ่านระบบ TPA คือคำตอบระยะยาว

ความไม่ชัดเจนในกระบวนการจัดซื้อไฟฟ้าครั้งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบไฟฟ้าปัจจุบันที่ยังรวมศูนย์อยู่กับหน่วยงานรัฐไม่กี่แห่ง และขาดกลไกการแข่งขันที่แท้จริง ในระยะยาวการเดินหน้าสู่ระบบ Third-Party Access (TPA) ซึ่งเปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใดก็ได้สามารถขายไฟฟ้าโดยตรงผ่านโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศจะเป็นกลไกสำคัญที่ ปลดล็อกการแข่งขัน เพิ่มความโปร่งใส และสร้างราคาที่สะท้อนต้นทุนแท้จริง โดยไม่ต้องอาศัยการเจรจาระหว่างรัฐกับเอกชนแบบรวมศูนย์ที่มักนำไปสู่ข้อกังวลด้านธรรมาภิบาล

ดังนั้น การปฏิรูประบบไฟฟ้าสู่ TPA จึงไม่ใช่แค่คำตอบทางเทคนิค แต่คือ คำตอบทางนโยบายและธรรมาภิบาล ที่จะเสริมสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานในระยะยาว และทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ระบบพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน เป็นธรรม และแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างแท้จริง

ทั้งนี้การผลักดันพลังงานสะอาดจะไม่อาจสำเร็จได้ หากขาดความโปร่งใส ความเป็นธรรม และกลไกที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงอย่างรอบด้าน การกำหนดราคาที่ไม่เหมาะสมไม่เพียงเพิ่มภาระให้ประชาชน แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้ประเทศพลาดโอกาสในยุทธศาสตร์สำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน รัฐจึงควรปรับบทบาทจาก “ผู้กำหนด” มาเป็น “ผู้ประสานและกลั่นกรอง” บนพื้นฐานของข้อมูลจริง เพื่อให้พลังงานสะอาดกลายเป็นต้นทุนที่คุ้มค่า ไม่ใช่ความเสี่ยงที่สังคมต้องแบกรับโดยไม่จำเป็น