ผู้ชมทั้งหมด 458
นักวิชาการ “ทีดีอาร์ไอ” แนะ “ภาครัฐ” เร่งเปิดให้เอกชนเชื่อมต่อระบบสายส่งไฟฟ้า (TPA) ในพื้นที่EEC เสริมการแข่งขันอุตสาหกรรมไทย พร้อมเสนอใช้ พ.ร.บ.EEC เป็นกลไกอนุมัติสร้างโครงข่ายพลังงานสะอาดใหม่ รองรับความต้องการใช้ไฟสะอาดแบบเร่งด่วน ชี้ไฟฟ้าสะอาดไม่เพียงพอ ทำต้นทุนสูงขึ้น เสี่ยงสูญเสียโอกาสดึงการลงทุนจากต่างประเทศ กว่า 1.1 ล้านล้านบาท พร้อมจี้ปรับเกณฑ์ UGT2 ให้ราคามีความยืดหยุ่นเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล
ประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจระดับโลกในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด จากทั้งกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) การลงทุนสีเขียว และข้อกำหนดด้าน ESG ของบริษัทข้ามชาติชั้นนำ แต่ในขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในEEC กลับยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้อย่างเพียงพอ
เนื่องจากนโยบายในการเร่งเพิ่มไฟฟ้าพลังงานสะอาดของไทยที่ยังล่าช้าและไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จะทำอย่างไร เมื่อแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย(PDP) ที่เป็นแม่บทในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และตั้งเป้าสู่ Carbon neutrality ช้ากว่าองค์กรเอกชน
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จึงร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย(RE100) กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา “เมื่อรัฐช้า ทางรอดของภาคอุตสาหกรรมในวันที่ไฟสะอาดไม่เพียงพอ” (สายส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดในพื้นที่ EEC)

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ ได้เผยแพร่ผลการศึกษา “เมื่อรัฐช้า…ทางรอดของภาคอุตสาหกรรมในวันที่ไฟสะอาดไม่เพียงพอ” (สายส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดในพื้นที่ EEC) โดยระบุว่าผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความล่าช้าในการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า (Third-Party Access: TPA) และความไม่ชัดเจนของนโยบายด้านพลังงานเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของภาคธุรกิจไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งหากรัฐยังไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสใน 3 มิติ ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมจะเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการพึ่งพาไฟฟ้ารูปแบบ Green Tariff (UGT) และการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดนจาก CBAM โดยเฉพาะในภาคส่งออกนอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่อาจจะสูงกว่า 1.1 ล้านล้านบาท รวมทั้งโอกาสในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ โดยอาจมากถึง 7แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเทคโนโลยีสีเขียว

ด้านสังคม การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่ล่าช้า อาจทำให้เกิดการว่างงานจากภาคธุรกิจแบบเดิม ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก โดยไม่สามารถสร้าง “งานสีเขียว” ได้ทันรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบ เสี่ยงต่อการว่างงานเพิ่มขึ้นและความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น

ด้านสิ่งแวดล้อม ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ที่สูงขึ้นที่จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ ไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นถ้าประเทศไทยไม่เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด แต่ยังต้องการรักษาฐาน Data Center อาจส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตอื่นต้องหันมาใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานฟอสซิลแทน ทำให้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเดินสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอ มีข้อเสนอต่อภาครัฐในการเร่งไฟฟ้าพลังงานสะอาด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน และรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้ ภาครัฐควรเร่งเปิดให้เอกชนเชื่อมต่อระบบสายส่งไฟฟ้า (Third-Party Access: TPA) เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงสุด และควรพิจารณาขยายการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้รายใหญ่ (Direct PPA) ให้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ไม่จำกัดเฉพาะ Data Center และปรับเกณฑ์ UGT2 ให้ราคามีความยืดหยุ่นและเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล เพื่อรองรับการส่งออกและแข่งขันกับนานาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 แนวทางนี้ จนถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐว่า จะให้การสนับสนุนหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ที่ต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างเร่งด่วนสามารถหาทางออกด้วยการใช้พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.EEC) มาเป็นกลไกในการอนุมัติ อนุญาติการสร้างโครงข่ายพลังงานสะอาดใหม่ เพื่อจัดส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงจากแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดมายังภาคอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ และอุดช่องว่างของนโยบายระดับชาติที่ยังไม่ทันการณ์
ทีมวิจัยทีดีอาร์ไอ ยังเสนอช่องทางการเดินหน้าโครงข่ายไฟฟ้าใหม่เพื่อจัดส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้แก่พื้นที่ EEC ว่า มีกระบวนการอนุมัติ/อนุญาต 2 ช่องทาง คือ ผ่านสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และผ่านคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ตาม พ.ร.บ. EEC ซึ่งเป็นช่องทางที่มี ฐานอำนาจตามกฎหมายรองรับชัดเจน ตามมาตรา 6(3), 29, 30 และ 37(4) ของ พ.ร.บ. EEC พ.ศ. 2561 ซึ่งเปิดทางให้ กพอ. สามารถพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตพลังงาน หากเห็นว่าโครงการนั้นเอื้อต่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ EEC และช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

“พ.ร.บ. EEC เป็นกลไกที่เอื้อต่อการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่ภาครัฐยังไม่สามารถเปิด TPA หรือออกแบบกลไก UGT ที่แข่งขันได้ การเปิดให้เอกชนสามารถลงทุนโครงข่ายของตนเองภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. EEC จึงเป็น ‘ทางรอด’ ที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และพลังงานสะอาดของประเทศไทยอย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการภายใต้พ.ร.บ.EEC สามารถเดินหน้าได้ทันที โดยกฎหมายให้อำนาจ กพอ. ในการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรา 37(4) ระบุให้กพอ. สามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานได้ โดย “ไม่ตัดอำนาจ” คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)แต่เป็นอำนาจคู่ขนานตามกฎหมาย ทั้งนี้โครงการจะต้องอยู่ภายใต้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน และต้องมีการประเมินผลกระทบและความคุ้มค่าอย่างรอบด้าน ซึ่งเหมาะสำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น การรองรับนักลงทุนใน EEC ที่ต้องการไฟฟ้าสะอาดอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ในการดินการนั้นต้องพิจารณาถึงรูปแบบการลงทุนและรูปแบบการสร้างโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันเพื่อออกแบบแนวทางการบริหารจัดการผลกระทบต่อทางด้านสังคมย่างเป็นธรรมด้วย

ดังนั้น ในยุคที่ไฟฟ้าสะอาดกลายเป็นหัวใจของความสามารถในการแข่งขัน ไฟฟ้าสะอาดไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการอยู่รอดในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนขององค์กร และการรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ทว่าเนื่องจากการเปิดให้เอกชนเข้าถึงระบบสายส่ง ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทางรอดของภาคอุตสาหกรรมวันนี้ คือการสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าขึ้นมาใหม่เพื่อจ่ายไฟสะอาดให้ตนเอง
“ถึงเวลารัฐต้องฟังเสียงภาคธุรกิจ ไฟฟ้าสะอาดไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่คือทางรอด ทางออกนี้ไม่ใช่การเดินหน้าโดยเอกชนเพียงลำพัง แต่รัฐควรมีบทบาท ‘สนับสนุนโดยไม่สร้างอุปสรรคเพิ่ม’ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันออกแบบแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมอย่างเหมาะสม และเป็นธรรมสอดรับกับเป้าหมายของประเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”

นอกจากนี้ ภายในการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมอง เวที “เสียงจากอุตสาหกรรมEEC : ทางรอดและความเป็นไปได้ของนโยบายพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์” ยังมีเวทีเสวนา หัวข้อ “เสียงจากอุตสาหกรรมEEC : ทางรอดและความเป็นไปได้ของนโยบายพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์” โดยมีผู้ร่วมดำเนินการเสวนา ประกอบด้วย ดร.บุตรา บุญเลี้ยง Head of ESG Strategy and Integration บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดร.ดิษฐา นนทิวรวงษ์ Head of Sustainable Project Development และHead of S&A Engineering – Special Project บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) นายสรัล มารู รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สกพอ. โดยมีดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
