ผู้ชมทั้งหมด 1,494
โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนําร่อง) กำหนดกรอบรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 150 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น เชื้อเพลิงชีวมวล ปริมาณไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ต่อโครงการเป้าหมายการรับซื้อ 75 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน ผสมน้ำเสีย/ของเสีย น้อยกว่าหรือเท่ากับ 25%) ปริมาณไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 3 เมกะวัตต์ต่อโครงการ เป้าหมายการรับซื้อ 75 เมกะวัตต์ ที่ภาคเอกชนและวิสาหกิจชุมชนรอคอยมาร่วม 2 ปี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2564 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้ประการศผลผู้ชนะการประมูล พบว่ามีผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) จำนวนทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 149.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย) แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทชีวมวลจำนวน 16 ราย ปริมาณไฟฟ้าเสนอขายรวม 75.00 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 2.7972 บาทต่อหน่วย) และโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทก๊าซชีวภาพรวม 27 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 74.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.5717 บาทต่อหน่วย)
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/09/IMG_5908-1024x768.jpg)
นายนที สิทธิประศาสน์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ผลการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 150 เมกะวัตต์แรก พบว่า โครงการประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล ขนาดเล็ก กำลังการผลิตไม่เกิน 3 เมกะวัตต์ มีส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) สูงสุด ได้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.31 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 82.5% และรวมค่าพรีเมียมในพื้นที่ภาคใต้อีก 50 สตางค์ รวมอยู่ที่ 2.81 ส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) ต่ำสุด ได้ราคาสูงสุดอยู่ที่ 3.52 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 36.11% หรือมีค่าเฉลี่ยส่วนลดราคาค่าไฟ อยู่ที่ 2.81-3.52 บาทต่อหน่วย
โครงการประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล กำลังการผลิตมากกว่า 3 เมกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ มีส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) สูงสุด ได้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.23 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 84% และรวมค่าพรีเมียมในพื้นที่ภาคใต้อีก 50 สตางค์ รวมอยู่ที่ 2.73 ส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) ต่ำสุด ได้ราคาสูงสุดอยู่ที่ 2.80 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 60.35% หรือมีค่าเฉลี่ยส่วนลดราคาค่าไฟ อยู่ที่ 2.73-2.80 บาทต่อหน่วย
ส่วนโครงการประเภทเชื้อเพลิงชีวภาพ ขนาดเล็ก กำลังการผลิตไม่เกิน 3 เมกะวัตต์ มีส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) สูงสุด ได้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.62 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 72.5% และส่วนลดราคาค่าไฟ(discount) ต่ำสุด ได้ราคาสูงสุดอยู่ที่ 3.57 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 38.38 % หรือมีค่าเฉลี่ยส่วนลดราคาค่าไฟ อยู่ที่ 2.62-3.57 บาทต่อหน่วย
ดังนั้น ในส่วนของโครงการประเภทเชื้อเพลิงชีวมวลและชีวภาพ ขนาดเล็ก จะมีอัตราค่าไฟฟ้าใกล้เคียงกันอยู่ที่ 2.6-3.5 บาทต่อหน่วย ขณะที่โครงการเชื้อเพลิงชีวมวล ขนาดใหญ่กว่า จะมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย อยู่ที่ 2.73-2.8 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำกว่าโครงการขนาดเล็ก
“ยอมรับว่า การแข่งขันประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนครั้งนี้ ได้อัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ที่ไม่ควรต่ำกว่าระดับ 3 บาทต่อหน่วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แต่ละโครงการที่ชนะการประมูลจะบริหารจัดการต้นทุนดำเนินการกันเอง แต่ก็ยังเป็นห่วงว่าชุมชนจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม การประกาศผลผู้ชนะการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ที่มีผู้ได้สิทธิดำเนินการ 43 ราย ยังไม่ถือเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะวัดผลสำเร็จของโครงการฯได้ แต่ยังต้องรอประเมินผลดำเนินการเป็นระยะ เช่น ทั้ง 43 ราย จะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) ได้ครบตามกำหนดหรือไม่ รวมถึง รัฐวิสาหกิจชุมชนที่เป็นคู่สัญญากับโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งในสัดส่วนราว 10% จะสามารถขายเชื้อเพลิงสร้างรายได้ และมีกำไรจากการถือหุ้นบุริมสิทธิ์ 10% ตามที่คาดหวังหรือไม่ ตลอดจนดูเรื่องของงบ CSR ที่จะลงสู่ชุมชนในพื้นที่ จะนำไปสู่การจ้างงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนได้มากน้อยอย่างไร
นายนที กล่าวอีกว่า ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงว่า การประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ได้อัตราค่าไฟฟ้าในราคาที่ค่อนข้างต่ำ จะทำให้วิสาหกิจชุมชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มทีหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นสัญญาที่ดี ที่ทำให้เห็นว่าภาคเอกชนตื่นตัวเข้าร่วมการประมูลคึกคัก ตอบรับต่อกระแสของโลกที่ต้องการไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดหวังว่า การขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชนในระยะต่อไป หรือ โครงการในเฟสที่ 2 นั้น ภาครัฐจะปรับเงื่อนไขโครงการใหม่ โดยหันกลับไปพิจารณาเงื่อนไขเดิม ที่ไม่ใช่รูปแบบการเปิดประมูลแข่งขันด้านราคา และเป็นการแข่งขันเสนอผลประโยชน์ให้กับชุมชนสูงสุด เพราะวิธีการนี้ จะทำให้ชุมชนได้รับประโยชน์จากโครงการอย่างเต็มที่ เช่น การกำหนดผลตอบแทน 25 สตางค์ต่อหน่วย เป็นต้น และยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้เม็ดเงินลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
แม้ว่า หลายฝ่ายอาจจะมีข้อกังวลเรื่องของต้นทุนค่าไฟฟ้าที่อาจจะสูงกว่าวิธีการเปิดประมูลแข่งขัน แต่หากพิจารณาจากกำลังการผลิต ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ที่กำหนดรับซื้อไฟฟ้า รวมในปริมาณ 1,933 เมกะวัตต์ ก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ปริมาณส่วนน้อยที่กระทบต่อค่าไฟฟ้า และหากพิจารณาจากราคาแต่ละโครงการที่ไม่รวมต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม ไฟฟ้าจากชีวมวลก็จะมีราคาสูงกว่าไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งหากนำเรื่องของมูลค่าการลดคาร์บอนที่ปล่อยออกไปมาประเมินด้วย โดยหากนำทุกมิติมาคำนวณก็จะถือว่าคุ้มค่าต่อผลประโยชน์ที่กลับสู่เศรษฐกิจในภาพรวมมากกว่า
“โดยรวมแล้ว ผมอยากเห็นโครงการนี้สำเร็จ แม้จะไม่เห็นด้วยกับวิธีการประมูล แต่ก็ต้องติดตามประเมินผลโครงการต่อไปเป็นระยะๆว่าจะ สามารถเซ็นต์ PPA ได้หรือไม่ ก่อสร้างได้ไหม ชุมชนได้ประโยชน์อย่างไร เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ซึ่งหากจะรอให้โครงการแล้วเสร็จและประเมินผลต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ดังนั้น ระหว่างนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะประเมินผลควบคู่ไปกับการพิจารณาเงื่อนไขเดิมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ”
ก่อนหน้านี้ กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเมินว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน (โครงการนำร่อง) รับซื้อไฟฟ้า 150 เมกะวัตต์ เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.03 หมื่นล้านบาท และหากดำเนินการได้ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในปริมาณ 1,933 เมกะวัตต์ จะทำให้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มเป็นประมาณ 1.34 แสนล้านบาท เอื้อให้เกิดการจ้างงานร่วมหมื่นตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจของประเทศ