ผู้ชมทั้งหมด 1,444
กระแสการตื่นตัวของหลายประเทศทั่วโลกที่ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา “ภาวะโลกร้อน” จนนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์) สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ซึ่งเป็นแนวทางความร่วมมือร่วมมือกันเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกให้สอดคล้องกับการป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)
“ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในประชาคมโลกที่ประกาศตัวเข้าร่วมข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว โดยกระทรวงพลังงาน ได้ยกร่างแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan) กำหนดเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) และNet Zero Emission ในปี ค.ศ.2065-2070 เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวนการแข่งขันในเวทีการค้าระดับโลก ที่จะมีการตั้งกำแพงภาษีออกมากีดกันการส่งออกสินค้าในอนาคต
“ภาคเอกชนไทย” ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและเห็นว่าการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% หรือ RE 100 เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดเสวนา หัวข้อ “RE100 Thailand :ความท้าทายของประเทศไทย ในการมุ่งสู่ Carbon Emission Net Zero และ Energy Transition” ที่จัดขึ้นภายใต้งาน ASEAN SUSTAINABLE ENERGY WEEK 2021 AND PUMPS & VALVES ASIA 2021VIRTUAL EDITION เพื่อเป็นข้อเสนอแนะถึงภาคนโยบายในการปลดล็อกอุปสรรคในการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจาก RE 100
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/10/333.png)
นายนที สิทธิประศาสน์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ระบุว่า RE 100 เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่เป็นปัญหาสำคัญในการเกิดภาวะโลกร้อน เพราะการผลิตไฟฟ้าจาก RE 100 ไม่มีการปลดปล่อยคาร์บอนออกไปเลย แต่ในระดับประเทศไทยการจะไปสู่ RE 100 ทันทียังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากโครงการการผลิตไฟฟ้ายังพึ่งพาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเกือบ 70% และมีสัญญาซื้อก๊าซฯผูกพันไว้แล้วรวม 20ปี และการจะก้าวสู่ RE 100 ได้นั้นในระดับประเทศยังต้องรอให้ระบบกักเก็บพลังงาน(ESS) มีต้นทุนถูกลงเพื่อให้การผลิตไฟฟ้า RE 100 มีต้นทุนที่แข่งขันได้กับเชื้อเพลิงฟอสซิล
ขณะที่การส่งเสริมผลิตไฟฟ้าในระดับองค์กร สามารถดำเนินการได้ก่อน หากรัฐปลดล็อกซื้อขายไฟฟ้าข้ามสายส่งได้ โดยรัฐต้องแก้ไขกฎระเบียบเพื่อ “เปิดซื้อขายไฟฟ้าเสรี” รองรับการผลิตไฟฟ้าจาก RE 100 เข้าระบบผ่าน “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม”
ขณะเดียวกันการเปิดซื้อขายไฟฟ้ารูปแบบ Peer-to-Peer (P2P) ผ่านโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำ เทคโนโลยีมาสนับสนุนให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) การทดสอบนวัตกรรมในโครงการที่มีการซื้อขายไฟฟ้า ที่มีการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าผ่านทาง (Wheeling Charge) ให้มีอัตราเท่ากันทุกโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Uniform Tariff โดยมีค่าเท่ากับ 1.151 บาทต่อหน่วย ยังเป็นอัตราที่แพงเกินไป ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท.ได้ทำหนังสือถึงภาครัฐเพื่อขอให้ทบทวนอัตราดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะหากรัฐกำหนดอัตราแพงเกินไปก็จะไม่ทำให้การซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ P2P เกิดขึ้นได้ แต่หากกำหนดอัตราถูกเกินไปก็อาจก็ทบต่อการไฟฟ้า ฉะนั้นก็ต้องหาอัตราที่เหมาะสม แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐจะต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย
นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงกับ “กลุ่มเด็นโซ่” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใช้ไฟฟ้าจาก RE 100 ภายในปีค.ศ.2035 และเพื่อรับมือกับการกีดกันทางการค้าจากอียูและสหรัฐ ที่เตรียมตั้งกำแพงภาษีสกัดสินค้านำเข้า โดยเตรียมเสนอผลักดันเข้าร่วมโครงการ ERC Pilot Project (Sandbox 2) ต่อไป
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/10/IMG_2802-1024x768.jpg)
นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ ผู้แทนจาก RE100 Thailand Club มองว่า การจะผลักดันไปสู่ RE 100 ในประเทศไทยเป็นไปได้หากรัฐมีการแก้ไขกฎหมายให้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านสายส่ง หรือเปิดทางให้เอกชนมีการจัดตั้งโรงไฟฟ้าRE ได้ในพื้นที่ใกล้กับโรงงาน โดยรัฐจะต้องปลดล็อกเรื่องของผังเมืองที่เป็นข้อจำกัดอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนรูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าผ่านสายส่งนั้น ปัจจุบัน เข้าใจว่าภาครัฐยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมใน 2 รูปแบบ คือ เปิดให้เอกชนซื้อขายไฟฟ้ากันเองแล้วรัฐเก็บค่าบริการผ่านสายส่ง หรืออีกรูปแบบคือ รัฐเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก RE และ ESS เพียงรายเดียวแล้วออกบิลค่าไฟฟ้าแยกเก็บค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งรูปแบบตรงนี้ก็อยู่ที่ภาครัฐจะเป็นผู้ออกกติกาให้ชัดเจนต่อไปก็จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจาก RE 100 ได้
นายทวี จงควินิต รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง มีความเป็นไปได้ แต่รัฐต้องจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการซื้อขายไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้น โดยจะต้องมีเรื่องของระบบสมาร์ทกริด ระบบสมาร์ทมิเตอร์ เข้ามาร่วมเป็นต้น รวมถึงจัดทำให้เกิดการข้อมูลการซื้อขายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะต้องจัดระบบลงทุนผลิตไฟฟ้าโดยต้องมีเรื่องของระบบไมโครกริดให้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าในกลุ่มขนาดเล็ก หรือระบบชุมชนให้เกิดการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกลุ่มย่อยกันเอง ก่อนส่งขายไฟฟ้าข้ามสู่ระบบสายส่งหลัก
ตลอดจนเรื่องของดิจิตัลแพลตฟอร์ม ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับการซื้อขายดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดการจับคู่ซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า แต่ปัจจุบัน การซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของไทยยังเป็น “ระบบผู้ซื้อรายเดียว” (Enhanced Single Buyer) ฉะนั้นภาคนโยบายจะต้องปลดล็อกเรื่องนี้ก่อน และปักหมุดให้ชัดเจนเพราะการผลิตไฟฟ้าจาก RE 100 เป็นเป้าหมายของโลก ที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยเป็นหนึ่งในประชาคมโลก ที่จะต้องมีส่วนร่วมลดปัญหาภาวะโลกร้อน และต้องทำทุกวิธีการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ทั้งการทำเรื่องลดการใช้พลังงาน (energy efficiency) ในปัจจุบัน สามารถดำเนินการได้ง่ายกว่าอดีตที่ผ่านมา เพราะการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานมีราคาถูกลง เอื้อต่อการทำเรื่องคาร์บอนเครดิตได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญยังจะต้องทำควบคู่กับเรื่องการตรวจวัดและพิสูจน์ผล และต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ประเทศคู่ค้าให้การยอมรับ
รวมถึง เรื่องการเปิดให้ใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่ 3 (Third Party Access : TPA Code) เข้ามาซื้อขายไฟฟ้าในระบบสายส่งหลักได้ เพื่อให้การผลิตไฟฟ้าจาก RE 100 เกิดได้เร็วขึ้น เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอยู่รอดจากการตั้งกำแพงภาษีสกัดการนำเข้าสินค้าในอนาคต
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/10/EA_EA-Anywhere-สถานีชาร์จรถยนต์-1-1024x561.png)
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(EV) เป็นหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งที่มีสัดส่วนราว 20% จากภาคพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนสูงถึงราว 70% ฉะนั้น หลายประเทศทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้รถ EV และการจะผลักดันให้การใช้รถ EV เกิดขึ้นได้ จุดเริ่มต้นจะต้องมาจากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิตรถ
“รถEV เป็นเมกะเทรนด์ของโลก ซึ่งยังไงรถ EV ก็เกิดขึ้นแน่ แต่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็อยู่ที่นโยบายภาครัฐ วันนี้ ประเทศไทยรัฐบาลเดินหน้ากำหนดนโยบายและกลยุทธ์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านผลิตรถ ICE ไปสู่รถEV ฉะนั้นรัฐกับเอกชนวันนี้ มีเป้าหมายตรงกันแล้ว และประเทศไทยก็มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับก็เชื่อว่ารถEV จะเกิดขึ้นแน่ และจะเป็นส่วนที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน”
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมรถEV จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ประเทศไทย บรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน และยังช่วยรักษาการเป็นฐานผลิตรถในระดับโลก ที่ปัจจุบันไทยน่าจะอยู่ในอันดับที่ 10 ที่มีการผลิตราว 2 ล้านคันต่อปี มีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 8 แสนคน และมีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนฯที่เกี่ยวข้องประมาณ 3,000 บริษัท ดังนั้น หากไทยไม่เร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้ก็อาจทำให้ไทยสูญเสียฐานการผลิตรถในอนาคตได้