กทท.เร่งถมทะเลแหลมฉบังเฟส 3 ยังล่าช้า คืบแค่ 5% แต่มั่นใจเปิดปี 68  

ผู้ชมทั้งหมด 772 

กทท.พร้อมลุยแหลมฉบังเฟส 3 หลังก้าวหน้าแค่ 5% เหตุเจอพิษโควิด-19 ส่งผลให้งานล่าช้าเกือบ 4 เดือน เร่งงานถมทะเล ยืนยันพร้อมเปิดใช้ท่าเรือ F1 ปี 68 รองรับตู้สินค้า 13 ล้าน ที.อี.ยูต่อปี ดันเป็นศูนย์กลาง และประตูเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้า

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ว่า โครงการมีความก้าวหน้าในภาพรวม 5% ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิมประมาณ 3-4 เดือน เนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของงานถมทะเล ซึ่งมีกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี (CNNC) เป็นผู้ดำเนินโครงการวงเงิน 21,320 ล้านบาท  ซึ่งกทท. ได้ส่งมอบพื้นที่งานถมทะเล 1 (Key Date 1) เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา จากเดิมที่ต้องส่งมอบภายในเดือน พ.ค. 65 จากนี้ กทท.จะเร่งรัดผู้รับจ้างให้ดำเนินงานพื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) ได้แก่ การขนย้ายดินเลน การถมทราย ฯลฯ คาดว่า จะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ตามในการดำเนินงานถมทะเลได้รับรายงานว่า กิจการร่วมค้าซีเอ็นเอ็นซีมีแผนที่จะเพิ่มเรือ ขุดลอกอีก 2 ลำซึ่งมีประสิทธิภาพในการขุดมากกว่าเดิม อีกทั้งจะเร่งรัดก่อสร้างหลักผูกจอดเรือชั่วคราวเพื่อนำหิน ไปก่อสร้างคันหินล้อมพื้นที่ท่าเทียบเรือ EO ท่าเทียบเรือ F ท่าเรือบริการ และท่าเรือชายฝั่งของโครงการฯด้วย 

ขณะที่พื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date 3) คาดว่า จะแล้วเสร็จภายในกลางปี 66 คาดว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือ F ขนาด 1,000 เมตร ให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) ซึ่งเป็นเอกชนคู่สัญญาได้ภายในเดือน พ.ค.-พ.ย. 66 ก่อนจะส่งมอบพื้นที่ครบ 2,000 เมตร ได้ช่วงเดือน พ.ค. 68 

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ส่วนงานที่ 2 งานจ้างเหมา ก่อสร้างโครงการฯ ได้แก่ งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค วงเงินประมาณ 7,000 ล้านบาทนั้น กทท. จะเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามแผนงาน ซึ่งอยู่ระหว่าวขั้นตอนการประชาพิจารณ์ร่างรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา คาดว่า จะเปิดประมูลได้ในเดือน ต.ค. 65 และน่าจะได้ตัวเอกชนผู้รับจ้างภายในสิ้นปีนี้

ส่วนงานที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนงานที่ 4 งานติดตั้งเครื่องจักและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ระหว่างการประกาศประกวดราคา คาดว่า ส่วนงานที่ 3 จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. 65 และส่วนงานที่ 4 จะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. 65  ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้ GPC เริ่มบริหารจัดการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ภายในปี 68

นายเกรียงไกร กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญตามแผนพัฒนาพื้นที่ระเบียง เศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าการลงทุน รวม 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น กทท. ลงทุน 50,000 ล้านบาท ขณะที่เอกชนลงทุน 60,000 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี (ท่าเทียบเรือ F) 

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้า ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือตู้สินค้า จำนวน 4 ท่า สามารถรองรับตู้สินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 7 ล้าน ที.อี.ยู. ต่อปี, ท่าเทียบเรือรถยนต์ (RO/RO) 1 ท่า รองรับรถยนต์ได้ 1 ล้านคันต่อปี, ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเทียบเรือชายฝั่ง อย่างละ 1 ท่า (ท่าเทียบเรือ E ในอนาคต) ซึ่งจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดสามารถรองรับความจุตู้สินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้าน ที.อี.ยู. ต่อปีในปี 78 

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีขีดสามารถรองรับความจุตู้สินค้าอยู่ที่ 11 ล้าน ที.อี.ยู. ต่อปี และในปี 68 เมื่อโครงการท่าเทียบเรือ F ส่วนที่ 1 (F1) แล้วเสร็จ จะสามารถรองรับความจุตู้สินค้าเพิ่มอีก 2 ล้าน ที.อี.ยู. รวมเป็น 13 ล้าน ที.อี.ยู. จากนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้าน ที.อี.ยู. เมื่อดำเนินการท่าเทียบเรือ F ส่วนที่ 2 (F2) แล้วเสร็จในปี 72 รวมเป็น 15 ล้าน ที.อี.ยู.

ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันมีตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 8.5 ล้าน ที.อี.ยู. จากขีดความสามารถ 11 ล้านที.อี.ยูู. คาดการณ์ว่า ในปี 68 เมื่อโครงการท่าเทียบเรือ F แล้วเสร็จ จะมีตู้สินค้าประมาณ 10 ล้าน ที.อี.ยู. จากขีดความสามารถ 13 ล้าน ที.อี.ยูู. ดังนั้น กทท. จะไปวางแผนบริหารจัดการเพื่อเพิ่มตู้สินค้ามากขึ้น โดยการเปลี่ยนถ่ายสินค้าถ่ายลำ (Transhipment) จากพื้นที่ EEC ไปยังระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลาง(Hub) และประตูเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้า (Gateway) ต่อไป

ขณะเดียวกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้า ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมหรือเป็นท่าเรือสีเขียว (Green Port) ในเวลาเดียวกันเพื่อสนองตอบนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้มาตรฐานในระดับสากลอีกด้วย