กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติลงนาม ปตท.สผ.- เชฟรอนสำรวจปิโตรเลียมอ่าวไทย

ผู้ชมทั้งหมด 624 

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติลงนาม PSC แปลงปิโตรเลียมในอ่าวไทย 3 แปลง G1/65 G3/65 และG2/65 ปตท.สผ.- เชฟรอน คาดก่อให้เกิดการลงทุน 1,500 ล้านบาท สร้างความมั่นคงพลังงานระยะยาว

​ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับบริษัทผู้ได้รับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต จำนวน 3 แปลง รวมขนาดพื้นที่กว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร หลังจากที่ประเทศไทยไม่ได้มีการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ใหม่มาเป็นเวลา 16 ปีแล้ว และเนื่องจากพื้นที่แปลงสำรวจดังกล่าวอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่เคยได้รับการอนุมัติพื้นที่ผลิตไปแล้ว และอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสำรวจพบปิโตรเลียมเพิ่มเติม ช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว

วันนี้ (30 พฤษภาคม 2566) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน ได้ร่วมพิธีลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับบริษัทผู้ได้รับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 จำนวน 3 แปลง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ที่ได้อนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 และ G3/65 ขนาดพื้นที่รวม 20,133.87 ตารางกิโลเมตร และบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร

​กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มีภารกิจหลักในการกำกับดูแลกิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงการแสวงหาแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย โดยการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการพบแหล่งปิโตรเลียมใหม่ของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ การสร้างความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิงธรรมชาติจากแหล่งภายในประเทศ การลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตในวันนี้นอกจากจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศในระยะยาวอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังนับว่าเป็นหนึ่งในมาตรการในการช่วยขับเคลื่อน และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากธุรกิจต่อเนื่องอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม อาทิ ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างแท่นผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจภาคขนส่งรวมถึงธุรกิจร้านอาหาร โรงแรมอีกด้วย

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผเปิดเผยว่า ในฐานะบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของคนไทย ซึ่งมีภารกิจในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ปตท.สผ. มีความพร้อมที่จะสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม ทั้ง 2 แปลงด้วยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่สะสมมาตลอด 38 ปี โดยทั้ง 2 แปลงอยู่ใกล้กับโครงการของแปลง สำรวจ G1/61 และ G2/61 ที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ทำให้สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยในระยะยาว

นายรณรงค์ ชาญเลขา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในฐานะผู้รับสัญญาแบ่งปันผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ว่า “บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์(ประเทศไทย) รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลไทย ซึ่งได้นำมาสู่การร่วมลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตในวันนี้เราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในการพัฒนาแปลงสำรวจหมายเลข G2/65 อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและแนวทางปฏิบัติงานมาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบพลังงานที่สะอาดขึ้น อย่าง ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ให้กับประเทศเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำในระยะยาวต่อไป”​

ทั้งนี้การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการลงทุนสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมภายในประเทศตลอดช่วงระยะเวลาสำรวจปิโตรเลียม 6 ปี เป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท รวมทั้งได้รับผลประโยชน์พิเศษในรูปแบบของค่าตอบแทนการลงนาม เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไทย และอื่นๆ เป็นเงินประมาณ 640 ล้านบาท และหากสามารถพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมได้ในเชิงพาณิชย์ ในแปลงสำรวจปิโตรเลียมดังกล่าวก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐในรูปแบบของค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และส่วนแบ่งปิโตรเลียมที่เป็นกำไรด้วย