คมนาคม เดินหน้าเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า 3 ประเทศไทย – ลาว – จีน

ผู้ชมทั้งหมด 346 

คมนาคม เดินหน้าเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า 3 ประเทศไทย – ลาว – จีน เร่งจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย ลาว จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ บูรณาการการขนส่งร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานกำหนดนโยบายด้านการคมนาคมเพื่อสนับสนุนการบูรณาการการเชื่อมโยงระหว่างไทย ลาว และจีน ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ว่า ที่ประชุมได้มีมติเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อรองรับการขนส่งข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างไทย – ลาว – จีน ด้วยรถไฟขนาดทาง 1 เมตร ให้สามารถเชื่อมโยงทั้งภายในและภายนอกที่จะช่วยขยายความครอบคลุมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกไปให้ได้ประโยชน์ในทุกมิติ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

1. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้เร่งรัดการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ก่อนพิจารณาหารือร่วมกับฝ่าย สปป.ลาว เพื่อพิจารณาการกำหนดจุดตรวจร่วม (Common Control Area : CCA) การปรับปรุงความตกลงเดินรถไฟร่วม เช่น การพิจารณาเพิ่มสถานีระหว่างประเทศ (International Station) รวมถึงพิจารณาจัดการประชุมคณะทำงานร่วมไตรภาคีด้านรถไฟระหว่างไทย – ลาว – จีน ทั้งในระดับคณะทำงานด้านเทคนิค และธุรกิจ และการประชุมไตรภาคีเพื่อหารือแนวทางการเชื่อมโยงรถไฟระหว่างไทย ลาว และจีน (ระดับอธิบดี) โดยเร็ว

2. กรมทางหลวง (ทล.) ให้เร่งรัดการศึกษาแนวทางการก่อสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ก่อนนำผลการศึกษาหารือร่วมกับฝ่าย สปป.ลาว โดยเร็ว ทั้งนี้ให้ ทล.พิจารณานำประเด็นการเปิดใช้สะพานมิตรภาพแห่งเดิมหลังจาก เวลา 22.00 น. โดยให้หารือในการประชุมคณะกรรมาธิการบริหารและบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ (หนองคาย-เวียงจันทน์) ครั้งต่อไป

3. กรมการขนส่งทางบก(ขบ.) ให้พิจารณาปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่างไทย – ลาวตามที่ฝ่าย สปป.ลาว เสนอ โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ 

4. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รฟท. ทล. กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สถาบันการบินพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้จัดเตรียมข้อมูลการฝึกอบรมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งเรื่องถนน ทางราง โลจิสติกส์ และการบินพลเรือน ตามข้อร้องขอของฝ่ายลาว

5. รฟท.ใฟเเร่งรัดแก้ไขปัญหาการดำเนินการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยเร็วที่สุด

6. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย ลาว จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อหารือแนวทางการในบูรณาการการขนส่งร่วมกันในอนาคตที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ต่อไป

7. รฟท.ให้เร่งรัดการแก้ไขแบบก่อสร้างทางรถไฟทางคู่บริเวณสี่แยกบ้านจั่น อำเภอเมืองอุดรธานีโดยเร็ว เพื่อบรรเทาข้อกังวลของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมเร่งรัด และติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด

8. รฟท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การดำเนินการสนับสนุนการบูรณาการการเชื่อมโยงระหว่างไทย ลาว และจีน ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อประโยชน์สูงสุดในการดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างศักยภาพและแสวงหาโอกาสใหม่ทางการค้า การลงทุน ที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท.ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา มาตั้งแต่ปี 2560 โดยในการดำเนินโครงการดังกล่าวประเทศไทยจะเป็นผู้ลงทุนโครงการ 100% โดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง งานโยธา โดยฝ่ายจีนจะดำเนินการออกแบบ ควบคุมงาน และติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล

เมื่อเปรียบเทียบโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน และโครงการรถไฟลาว – จีน จะพบว่ารถไฟลาว – จีน เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างฝ่ายลาวกับจีน โดยฝ่ายลาวลงทุนร้อยละ 30 ฝ่ายจีนลงทุนร้อยละ 70 โดยเป็นการออกแบบพร้อมก่อสร้าง (Design Build) ใช้รางขนาด 1.435 เมตร เป็นทางเดี่ยว โดยใช้รถไฟ EMU รุ่น CR 200 ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่รถไฟไทย – จีน เป็นรถไฟความเร็วสูงที่มีการใช้ เทคโนโลยีการก่อสร้างที่แตกต่างจากรถไฟลาว – จีน โดยก่อสร้างเป็นทางคู่ตลอดเส้นทาง โดยใช้รถรุ่น CR300 สามารถรองรับความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฝ่ายไทยเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งหมด 179,412.21 ล้านบาท ระยะทาง 253 กิโลเมตร

ดังนั้นจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ เช่น มีอิสระในการกำหนดแผนในการเดินรถ (Operation) ไม่เสียสิทธิ์การใช้พื้นที่ข้างทาง สามารถกำหนดให้พนักงานขับรถไฟและพนักงานในศูนย์ซ่อมบำรุงทั้งหมดเป็นชาวไทยได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการเดินรถ ซึ่งถือเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งมั่นจะดำเนินโครงการที่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านระบบรางในระยะยาวที่ยั่งยืน และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบเส้นทางที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน การท่องเที่ยวและนำมาสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป