“บินไทย” กางแผนปี 66 จัดหาเครื่องบินเพิ่ม 9 ลำ เสริมแกร่งฝูงบิน ลุ้นจีนเปิดประเทศ

ผู้ชมทั้งหมด 471 

บินไทย” กางแผนปี 66 จัดหาเครื่องบินเพิ่มอีกอย่างน้อย 9 ลำ เสริมทัพฝูงบินรองรับผู้โดยสารพุ่งต่อเนื่อง ลุ้นจีนเปิดประเทศ ยังเดินหน้าขายเครื่องบิน 22 ลำ

นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง ประธานเจ้าหน้าที่อาวุโส รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีเครื่องบินทำการบินจำนวน 61 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินสำหรับให้บริการของสายการบินไทย ได้แก่ แอร์บัส A350 จำนวน 12 ลำ, โบอิ้ง B777-200ER จำนวน 4 ลำ, โบอิ้ง B777-300ER จำนวน 17 ลำ, โบอิ้ง B787 จำนวน 8 ลำ และเครื่องบิน แอร์บัส A320-200 สำหรับให้บริการของสายการบินไทยสมายล์ จำนวน 20 ลำ โดยบริษัทฯ มีแผนเตรียมเช่าเครื่องบินระยะสั้นสำหรับสายการบินไทยสมายล์ ซึ่งจะพิจารณาเครื่องบินประเภทลำตัวแคบ ประมาณ 10 ลำ อาทิ โบอิ้ง B777 เพื่อมารองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งต้องเร่งจัดหา หากจีนเปิดประเทศ กังวลว่าเครื่องบินจะไม่เพียงพอต่อการให้บริการ

นายสุวรรธนะ กล่าวอีกว่า ในปี 66 บริษัทฯ มีแผนจัดหาเครื่องบินมาให้บริการเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 9 ลำ ประกอบด้วย แอร์บัส A330-300 จำนวน 3 ลำ และโบอิ้ง B777-200ER จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่จอดพักไว้ตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง เพื่อให้สามารถนำกลับมาบินใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้จะเป็นการเช่าเครื่องบินใหม่แอร์บัส A350-900 จำนวน 4 ลำ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และกระทรวงคมนาคม คาดว่าลำแรกจะเข้ามาในไตรมาสที่ 1 ปี 66 (ม.ค.-มี.ค.66)

อย่างไรก็ตามเครื่องบินทั้ง 61 ลำ มีชั่วโมงการใช้เครื่องบิน (Aircraft Utilization) เฉลี่ย 12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพแล้ว โดยก่อนเกิดโควิด-19 ชั่วโมงการใช้เครื่องบินที่ทำได้สูงสุดเฉลี่ย 13 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเครื่องบินที่นำเข้ามาประจำฝูงบินเพิ่มเติมในปี 66 นั้น จะนำไปทำการบิน เพื่อเพิ่มความถี่ในเส้นทางบินต่างๆ ทั่วโลกที่สายการบินไทยเปิดให้บริการอยู่ โดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และญี่ปุ่น นอกจากนี้จะนำไปทำการบินในจุดบินเดิมที่หยุดบินในช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ เปิดทำการบินในเส้นทางบินเดิมไปแล้วประมาณ 70% 

นายสุวรรธนะ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีเครื่องบินอีกหลายลำที่จอดรอการขาย โดยก่อนหน้านี้มีแผนจะนำแอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำที่จอดอยู่ ยังขายไม่ได้ มาปรับปรุงเพื่อทำการบินรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารที่สูงขึ้น เพราะเครื่องประเภทดังกล่าวสามารถรองรับผู้โดยสารได้จำนวนมาก แต่เมื่อหารือกับทางแอร์บัส และฝ่ายช่าง พบว่า การนำเครื่องบินที่จอดทิ้งไว้ 2 ปีกลับมาบินอีกครั้ง ต้องใช้เวลาดำเนินการเช็กสภาพ และตรวจสอบต่างๆ ประมาณ 7-8 เดือน เพื่อให้พร้อมกลับมาบินอย่างปลอดภัย อีกทั้งต้องใช้เงินมหาศาลหลักพันล้านบาท ดังนั้นจึงพับแผนดังกล่าวไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ จำหน่ายเครื่องบินได้แล้ว รอส่งมอบ 19 ลำ ประกอบด้วย แอร์บัส A300-600 จำนวน 1 ลำ, โบอิ้ง B737-100 จำนวน 1 ลำ, โบอิ้ง B747-400 จำนวน 12 ลำ, แอร์บัส A340-500 จำนวน 1 ลำ และแอร์บัส A340-600 จำนวน 4 ลำ ส่วนที่ยังจอดรอการขาย มี 22 ลำ ประกอบด้วย แอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำ, แอร์บัส A340-500 จำนวน 2 ลำ, แอร์บัส A340-600 จำนวน 2 ลำ, โบอิ้ง B777-300 จำนวน 6 ลำ และโบอิ้ง B777-200 จำนวน 6 ลำ

ขณะเดียวกันยังมีอีก 5 ลำที่โอนให้ผู้ค้ำประกันเงินกู้ไปแล้ว ได้แก่ แอร์บัส A330 จำนวน 4 ลำ ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และแอร์บัส A330 จำนวน 1 ลำ จอดอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ถือว่าไม่ได้เป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ แล้ว ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการลบโลโก้การบินไทยบนเครื่องบิน 5 ลำดังกล่าวอยู่ 

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทยฯ แจ้งว่า สำหรับการเช่าเครื่องบินแบบ แอร์บัส A350-900 จำนวน 4 ลำ ที่จะเข้ามาประจำฝูงบินในปี 66 นั้น มีระยะเวลาการเช่า 12 ปี ค่าเช่าเครื่องบินลำละ 7.7 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณลำละ 27 ล้านบาท โดยจะชำระค่าเช่าเครื่องบินเป็นรายเดือน