รฟท. แจงปมที่ดินเขากระโดง ลุยทวงคืน 5,083 ไร่

ผู้ชมทั้งหมด 435 

รฟท. ชี้แจงแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทการบุกรุกที่ดินบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ยื่นฟ้องกรมที่ดินเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินรถไฟ พร้อมลุยเดินหน้าแก้ปัญหาที่ดินรถไฟทั่วประเทศอย่างจริงจัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายสกลชัย ลิมป์สีสวรรค์ ทนายความอิสระ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการที่การรถไฟฯ ไม่สั่งการให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกทับที่ดินรถไฟฯเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ขณะเดียวกันกลับเลือกฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้านนับ 100 รายที่เข้าไปอยู่อาศัยในบริเวณที่ดินรถไฟฯ มักกะสัน กรุงเทพฯ นั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้จัดแถลงข่าวชี้แจงการแก้ปัญหาข้อพิพาทการบุกรุกที่ดิน โดยมีนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการกลุ่มอำนวยการ นายเอก สิทธิเวคิน รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน และผู้บริหารการรถไฟฯ เข้าร่วมชี้แจง โดยระบุว่า รฟท. ได้ดำเนินการแก้ปัญหาที่ดินของรถไฟทั่วประเทศอย่างจริงจัง บนพื้นฐานของความถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามระเบียบของกฎหมาย มีความเสมอภาคไม่เลือกปฏิบัติ และยึดหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรมอย่างเหมาะสมเสมอมา แต่ที่ผ่านมากลับมีการนำข้อพิพาทที่ดินเขากระโดงในบางประเด็นมากล่าวอ้าง จนสร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบต่อความเชื่อมั่นขององค์กร จึงจำเป็นขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมถึงการดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว

ทั้งนี้ ในกรณีที่ดินเขากระโดง ถือเป็นปัญหาการมีเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนบนที่ดิน รฟท. ซึ่งในกรณีนี้มีการยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา ซึ่งต่อมา ป.ป.ช.ได้มีมติให้กรมที่ดิน เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 ตำบลอิสาณ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ไม่ได้สั่งให้ รฟท. ไปฟ้องประชาชน ประกอบกับเมื่อปี 2561 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่ราษฎรฟ้องรฟท. ให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินของรฟท. โดยศาลเชื่อข้อเท็จจริงตามแผนที่ รฟท. นำเสนอว่า พื้นที่เขากระโดงจำนวน 5,083 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. แต่คำพิพากษาจะผูกพันเฉพาะคดีนั้นๆ ไม่สามารถเอาคำพิพากษาไปบังคับกับที่ดิน 5,083 ไร่ได้

รฟท. จึงได้นำแนวทางคำพิพากษาดังกล่าว มาดำเนินการขอเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินนอกเหนือจากรายที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว โดยทำหนังสือถึงกรมที่ดินให้วินิจฉัยว่าการออกโฉนดเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ปรากฏว่าเมื่อครบกำหนด 90 วัน กรมที่ดินกลับไม่ได้พิจารณาตอบกลับมา รฟท. จึงได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 2494/2564 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ฟ้องกรมที่ดินเป็นจำเลยที่ 1 และอธิบดีกรมที่ดินเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าไม่ดำเนินการตามที่รฟท.ร้องขอ และไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินของรฟท. ซึ่งศาลปกครองกลางได้รับฟ้องไปแล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ขณะเดียวกันยังยื่นเรียกร้องค่าเสียหายเป็นวงเงินประมาณ 700 ล้านบาทกับกรมที่ดิน ซึ่งเป็นการประเมินจากรายได้ที่การรฟท. ต้องสูญเสียไป (ไม่รวมดอกเบี้ย) จากการที่กรมที่ดินไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาศาลฎีกา

ปัจจุบันที่ดินที่รฟท.ได้ยื่นให้ศาลปกครองตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิมีทั้งหมด  5,083 ไร่ มีผู้ถือครองเอกสารสิทธิ์ประมาณ 900 ราย แบ่งเป็นโฉนดที่ดินจำนวน 700 ราย ที่มีการครอบครอง (ท.ค.) จำนวน 19 ราย น.ส.3ก. จำนวน 7 ราย หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) จำนวน 1 ราย ทางสาธารณประโยชน์ จำนวน 53 แปลง และอื่นๆ ที่ไม่ปรากกฎเลขที่ดินในระวางแผนที่อีกจำนวน 129 แปลง ซึ่งรฟท. ยืนยันว่าพร้อมจะดำเนินการนำที่ดินทั้งหมดกลับมาเป็นทรัพย์สินของรฟท. แต่จะไม่ฟ้องร้องตรงต่อประชาชน โดยหลังจากนี้จะต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครองให้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด

นายนิรุฒกล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางแก้ปัญหาการบุกรุกเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินของ รฟท. มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ การบุกรุกที่ดินแบบไม่มีเอกสารสิทธิ์ และการเข้าไปใช้ประโยชน์ โดยมีเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับที่ดินรฟท. ซึ่งจะมีการดำเนินการแก้ไขที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบันมีกรณีผู้บุกรุกเข้าครอบครองที่ดิน รฟท. โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ทั่วประเทศ 18,822 ราย ประกอบด้วย พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 1,538 ราย  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 911 ราย  นครราชสีมา ขอนแก่น ศรีสะเกษ และจังหวัดอื่นรวม 3,045 ราย และพื้นที่อื่นๆ 12,459 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมถึงกรณีชาวบ้าน 100 ครัวเรือนที่เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณริมทางรถไฟมักกะสัน โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ซึ่งรฟท. ได้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยมีการเจรจากับผู้บุกรุกเพื่อขอคืนพื้นที่ดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแล้ว 

ส่วนอีกกลุ่มกรณีผู้ถือเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับที่ดิน รฟท. โดยมีการออกเอกสารสิทธิที่ดินเป็นเอกสารราชการอย่างถูกต้อง และอาศัยอยู่โดยสุจริตจำนวน 1,137 ราย ประกอบด้วย พังงา-ท่านุ่น 20 ราย อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 15 ราย บ้านโพธิ์มูล จ.อุบลราชธานี 2 ราย เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ 900 ราย และพื้นที่อื่นๆ 200 ราย ซึ่งในส่วนนี้ รฟท. จะไม่ดำเนินการกับผู้ถือเอกสารสิทธิ์เหมือนกับกลุ่มผู้บุกรุก เพราะรฟท. มองว่าประชาชนที่ถือเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่ออกโดยทางราชการ และอาศัยอยู่ในที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว ยังเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่ดินโดยสุจริต

นอกจากนี้ ในการดำเนินการแก้ปัญหาที่ดินของรฟท. ยังได้มีการตั้งคณะทำงานใน 3 ระดับขึ้นมาดูแล คือ 1.คณะทำงานภายในของการรถไฟฯ เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและจัดทำบัญชีรายชื่อ ชุมชุน และจัดหาพื้นที่ที่มีความเหมาะสม 2.คณะทำงานในระดับกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน พิจารณาให้ความช่วยเหลือในระดับนโยบาย 3. คณะกรรมการระดับประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนในที่ทำกิน ทั้งระดับรองนายกรัฐมนตรี และระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน

ท้ายนี้ขอย้ำว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินต่างๆ โดยยึดหลักจริยธรรม และหลักธรรมาภิบาล เพื่อความถูกต้อง โปร่งใส  ตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย และดำเนินการกับผู้บุกรุกทั่วประเทศด้วยความเท่าเทียม เสมอภาค ไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย