“อินโนบิก” ดัน “นำวิวัฒน์” เข้าระดมทุนตลาดหุ้นไทย หวังขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ฆ่าเชื้อทางการแพทย์สู่ตลาดโลก

ผู้ชมทั้งหมด 20,903 

เทรนด์การรักสุขภาพที่มากขึ้นของผู้คนในยุคปัจจุบัน ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง และการเกิดขึ้นของโรคอุบัติใหม่ เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งตอกย้ำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพให้ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของโลกยุคใหม่มากขึ้น

บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (อินโนบิก) ซึ่งเป็นแกนหลักของกลุ่ม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) PTT ผู้ดำเนินธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ (Life Science) ในการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมสาธารณสุขคนไทยให้มีความมั่นคง และผลักดันสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพของอาเซียนในอนาคต

เมื่อราวปีที่ผ่านมา หรือ เมื่อวันที่ 18  พ.ค.2565 อินโนบิก จึงได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด (นำวิวัฒน์ : NAM) ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์กลุ่มทำให้ปราศจากเชื้อ (sterilization) ชั้นนำในประเทศ โดย อินโนบิก ตัดสินใจลงทุนในนำวิวัฒน์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 17.65% ในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อไม่นานมานี้ NAM หรือ บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 181 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลัง IPO

แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทจำนวนไม่เกิน 105 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย WAI Global Corporation Limited จำนวนไม่เกิน 76 ล้านหุ้น โดยได้แต่งตั้งให้บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ และ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

NAM เป็นบริษัทประกอบกิจการค้าเครื่องมือแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้อุปกรณ์สะอาดและปราศจากเชื้อ จดทะเบียน 18 ตุลาคม 2565 โดยแปรสภาพจาก บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด ทุนจดทะเบียน 350,000,000 บาท โดยมีบริษัท อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ร่วมถือหุ้น และหลังจากเข้าระดมทุนแล้ว อินโนบิก จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือราว 15%

ทั้งนี้ นำวิวัฒน์ เล็งเห็นความสำคัญของจำนวนคนไข้ที่มากขึ้น เครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อนขึ้น และโรคใหม่ๆที่เกิดขึ้น ทำให้คนต้องเข้าใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น จึงเกิดความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์มากขึ้น และเป็นส่วนสำคัญให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เติบโต และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ต้องการเรื่องความปลอดภัยสูงในแง่การป้องกันเชื้อติดเชื้อ ฉะนั้น โควิด-19 ไม่ได้เป็นปัจจัยที่กระตุ้นการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว แต่เป็นการพลิกการรักษาพยาบาล ป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว

ดังนั้น นำวิวัฒน์ มีแผนการเติบโตไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ต้องการเติบโตในระดับโลก จึงนำไปสู่ความร่วมมือระหว่าง นำนิวิวัฒน์ กับ อินโนบิก ที่มีวิสัยทัศน์ รวมถึงมีแผนและแนวทางตรงกันในการขยายตัวทั้งสินค้าและผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดโลก

จากปัจจุบัน นำวิวัฒน์ มีการส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์ สู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมา หรือกลุ่มCLMV รวมถึงจีน ด้วย และในอนาคตจะขยายการส่งออกไปอีกหลายประเทศ จึงต้องเตรียมความพร้อมด้านโรงงานผลิตฯ งานวิจัยและพัฒนา(R&D) บุคลากร ความชำนาญในธุรกิจ ฉะนั้น การมี อินโนบิก เข้ามาจะทำให้เกิด Synergy  ร่วมกันและสร้างการเติบโตธุรกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ประเภทเครื่องฆ่าเชื้อแบบครบวงจรในตลาดโลก


นายวิโรจน์ ชัยเทิดเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นำวิวัฒน์ ประกอบธุรกิจหลักทางด้านการผลิตเครื่องมือแพทย์ประเภทเครื่องฆ่าเชื้อแบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา วิจัย ผลิต จำหน่าย และให้บริการลูกค้าโรงพยาบาล สถานพยาบาล ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์มาตรฐานสากลระดับยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ยาวนานกว่า 50 ปี

ปัจจุบัน นำวิวัฒน์ มีลูกค้าโรงพยาบาลในประเทศไทยที่เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่กว่า 1,100 แห่ง และหากรวมโรงพยาบาลขนาดเล็กด้วย จะมีลูกค้ากว่า 1,500-1,600 แห่งทั่วประเทศ

โดยการดำเนินธุรกิจบริษัท สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. กลุ่มผลิตและจำหน่ายเครื่องมือทางการ แพทย์ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 53% 2. กลุ่มผลิตและจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 27% 3. กลุ่มงานให้บริการ คิดเป็นสัดส่วนธุรกิจราว 20%

สำหรับเป้าหมายการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น บริษัท ต้องการนำเงินมารองรับขยายการลงทุนตามแผน โดยแผนการลงทุนระยะแรก (ระยะสั้น 3 ปี) อินโนบิก จะเชื่อมโยงกับนำวิวัฒน์ ในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่อินโนบิก ดำเนินการอยู่ทาง นำวิวัฒน์ จะสามารถเป็นช่องทางการจำหน่ายไปสู่โรงพยาบาลที่เป็นลูกค้าอยู่แล้วได้

แผนการลงทุนระยะที่สอง จะขยายการลงทุนรองรับการเติบโตของบริษัทในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางอินโนบิก ก็จะช่วยเรื่องการใส่เงินลงทุนเข้ามาขยายโรงงานผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเติม ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 ภายใต้งบประมาณ 500 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงงานฯแห่งใหม่ขึ้นที่จ.สมุทรปราการ ใกล้กับพื้นที่โรงงานเดิม คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 เพื่อให้บริษัท มีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มขึ้น

และแผนการลงทุนระยะสุดท้าย จะมองหาโอกาสเพิ่มพันธมิตรในตลาดโลก เชื่อมโยงความร่วมมือเพื่อขยายตลาด ปัจจุบัน มีการเจรจรากับพันธมิตรร่วมลงทุนหลายราย ทั้งในเอเชียฯ และยุโรป รวมถึงพิจารณาการลงทุนในหลายรูปแบบ แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้

“เราไม่ได้สนใจว่า สภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร เรามองแค่ว่าเรามีแผนจะเติบโตและต้องการใช้เงินเพื่อไปขยายการลงทุนตามแผน และแผนธุรกิจก็มีการเติบโตที่ชัดเจน ซึ่งก็คาดหวังว่าจะได้เห็นการเข้าระดมทุนภายในปีนี้ อีกทั้งNAM ยังเป็นหุ้นที่เข้าจดทะเบียนในหมวดใหม่ กลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงยังไม่มีคู่เทียบในธุรกิจนี้ และน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุน

นอกจากนี้ นำวิวัฒน์ ยังมองโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจจำหน่ายเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อ เพื่อเข้าไปช่วยโรงพยาบาล ลดการส่งออกขยะติดเชื้อออกไปกำจัดนอกพื้นที่ ซึ่งมีระยะทางไกล และอาจไม่ปลอดภัย ซึ่งปัจจุบัน บริษัท สามารถจำหน่ายเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อให้กับโรงพยาบาลได้แล้วกว่า 10 แห่ง เช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ซื้อเครื่องฯไปติดตั้งแล้ว 2 เครื่อง ทำให้ไม่ต้องส่งออกขยะติดเชื้อเพื่อไปกำจัดที่อื่น ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย โดยโรงพยาบาลจุฬาฯ มีขยะติดเชื้อที่เข้าเครื่องกำจัดฯ บดเป็นผงได้ประมาณ 3 ตันต่อวัน และสามารถนำผงที่บดแล้วส่งป้อนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ต่อไป อีกทั้ง บริษัท ได้มีความร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการนำเชื้อเพลิงที่ได้จากขยะติดเชื้อ เพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า

นำวิวัฒน์ ถือเป็นเจ้าเดียวในประเทศที่สามารถผลิตเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม บริษัท มีแผนจะขยายการจัดจำหน่ายเครื่องกำจัดขยะฯ ต่อยอดไปยังโรงพยาบาลอื่นๆทั่วประเทศต่อไป โดยเครื่องกำจัดขยะติดเชื้อ จะมีหลายขนาด ราคาอยู่ที่กว่า 12 – 40 ล้านบาท โดยราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท จะสามารถกำจัดขยะได้ 1 ตันต่อวัน และหากโรงพยาบาลไหนมีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะซื้อเครื่องฯ ทางบริษัท ก็มีบริการเช่า เป็นทางเลือกให้กับโรงพยาบาลอีกด้วย

รวมถึง บริษัท ยังมีธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องฆ่าเชื้อในอากาศ และพ่นฆ่าเชื้อบนพื้นผิว เพราะการผ่าตัด ทั้งเตียงคนไข้ ห้องผ่าตัด จะต้องแน่ใจว่ามีความปลอดภัย ซึ่งเครื่องมือตัวนี้ ทางโรงพยาบาลมีความต้องการใช้มาอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตเติบโตต่อไป

มูลค่าตลาดในภูมิภาคเอเชียฯ เกือบ 4-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทย มีมูลค่าตลาด อยู่ที่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดย นำวิวัฒน์ มีรายได้ราวปีละ 1,000 ล้านบาท แสดงว่าที่เหลือยังเป็นการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์อยู่ จึงยังมีโอกาสที่ธุรกิจจะขยายการเติบโต และเราให้ความสำคัญกับ R&D โดยตั้งงบ 5% ของรายได้ เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขัน และปัจจุบันเรามีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่จดสิทธิบัตร 40-50 ชิ้นแล้ว ซึ่ง นำวิวัฒน์ ถือเป็นเอกชน ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ฆ่าเชื้อทางการแพทย์ เบอร์ 1ในอาเซียน

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท มีการเติบโตของรายได้จากการขายและการให้บริการรวมอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้จากการขายและบริการรวมในปี 2563 เท่ากับ 676.61 ล้านบาท กำไรสุทธิ 110.44 ล้านบาท ,ปี2564 รายได้เท่ากับ 995.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 169.68 ล้านบาท และปี2565 รายได้เท่ากับ 1,099.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ ประมาณ 175.71 ล้านบาท ซึ่งในปี 2566 คาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 

นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เล่าว่า อินโนบิก ใช้เวลากว่า 2 ปีในการเข้าไปเจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุนกับ นำวิวัฒน์ เพราะเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และร่วมกันขยายตลาดสู่ต่างประเทศ รวมถึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน และห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) โดยตลาดเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโต 5 ปีที่ผ่านมาสูงถึง 10.45% ซึ่งส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ฉะนั้นความร่วมมือครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสการพัฒนาให้คนในประเทศสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานและสิทธิบัตรรับรอง ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพในอนาคต

“เดิม นำวิวัฒน์ เขาเป็นธุรกิจครอบครัวที่แข็งแกร่ง สามารถขยายการเติบโตได้เอง และมีบริษัทต่างชาติสนใจเขามาร่วมลงทุน แต่อินโนบิก เล็งเห็นศักยภาพของนำวิวัฒน์ และมองว่า แทนที่เราจะให้ต่างชาติเขามาลงทุน เราเลือกออกไปปักธงไทย ให้ต่างชาติรู้จักแบรนด์ของคนไทยไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้น จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น และเพื่อให้ นำวิวัฒน์ ขยายการลงทุนออกสู่ตลาดโลก จึงจำเป็นต้องเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเป็นไปขยายธุรกิจตามแผนการลงทุนในอนาคต”

หลังจาก อินโนบิก เข้าไปถือหุ้น นำวิวัฒน์ ได้ส่ง CFO เข้าไปช่วยเรื่องการทำไฟลิ่ง รวมถึง ส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ(บอร์ด) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล อัพเดทเทรนด์ทางการแพทย์ใหม่ๆ และแสวงหาโอกาสผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ และอินโนบิก มีเป้าหมายที่จะยังถือหุ้นใน นำวิวัฒน์ เพื่อให้บริษัทแข็งแรง โดยนำขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชน คิดเป็น 25.86% ทั้งนี้ การเข้าไปลงทุนของ อินโนบิก ในครั้งนี้ จะตอบโจทย์ เรื่องนวัตกรรมท้องถิ่น (Local Innovations) และช่วยสร้างความมั่นคงระบบสาธารณะสุข

สำหรับ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ Life Science ของ กลุ่ม ปตท. ให้เป็นรูปธรรมชัดเจน โดยมุ่งเน้นดำเนินการลงทุนในธุรกิจยา ธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ มีวิสัยทัศน์คือก้าวขึ้นเป็นบริษัท Life Science ชั้นนำในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์อันเป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี

ส่วน บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด (นำวิวัฒน์ : nam) ก่อตั้งในปี 2513 โดยกลุ่มครอบครัวชัยเทอดเกียรติ ธุรกิจหลักของบริษัทคือ ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำด้านการทำให้ปราศจากเชื้อ กลุ่มลูกค้าหลัก คือ โรงพยาบาลและหน่วยงานของรัฐมีสัดส่วนกว่า 90% รวมถึงโรงงานได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001, ISO 13485 และ ISO 9001