“เอสซีจี” เดินเกมรุกตลาดหลังคาโซลาร์ ตั้งเป้ารายได้โต 300%

ผู้ชมทั้งหมด 420 

“เอสซีจี” ผนึก 3 กลุ่มพาร์ทเนอร์ เปิดตัวโซลูชันใหม่ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า สูงสุด 60% ต่อเดือน พร้อมรุกตลาด Residential Solar Market ตั้งเป้ารายได้โต 300% ในปี 65

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจีมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชัน ตอบสนองความต้องการที่ หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของลูกค้า ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเอสซีจีจึงได้นำแนวทางเรื่องมาตรฐานการดำเนินธุรกิจระดับโลก อย่าง ESG (Environmental, Social and Governance) เป็นกรอบการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันใหม่ๆ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ ดังนั้น เอสซีจีจึงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่มากขึ้น

นายธงชัย โสภณ Head of Housing Products Business บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ได้เปิดตัวโซลูชันใหม่ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่มาตอบโจทย์เจ้าของบ้านและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคโควิด-19 ที่เน้นการทำงานแบบ Work from Home มากขึ้นที่ส่งผลโดยตรงกับการเพิ่มปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

สำหรับ “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” นั้นยังได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ “Partnership Integration” เพื่อสะท้อนภาพผู้นำผ่านการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับการสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่การเป็นโซลูชันพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูง

โดยได้ร่วมมือกับ 3 กลุ่มพาร์ทเนอร์ ประกอบด้วย ด้านเทคโนโลยี ได้ร่วมมือกับ หัวเว่ย (Huawei) เพื่อนำที่สุดของนวัตกรรมแบตเตอรี่มาเพิ่มความสามารถในการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้ในช่วงเวลากลางคืน และร่วมมือกับ เอนเฟส เอ็นเนอร์จี้ (Enphase Energy) ผู้นำด้านเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter) สหรัฐอเมริกา ร่วมนำเอาเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์มาช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของระบบโซลาร์ให้ดียิ่งขึ้น

ด้านไฟแนนซ์ ได้ร่วมมือกับ สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกและความคุ้มค่าด้านต่างๆ ให้กับลูกค้า รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการดำเนินการขออนุญาตให้รวดเร็วมากขึ้น

ทั้งนี้จากความร่วมมือกับพันธมิตรประกอบกับโซลูชันใหม่ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” ที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้สามารถใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ได้ทั้งวันทั้งคืน และช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าสูงสุด 60% ต่อเดือน จึงมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจกลุ่มลูกค้าทั้งที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป และกลุ่มบ้านจัดสรร ซึ่งล่าสุด ก็ได้ร่วมมือกับ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ด้วยโซลูชันใหม่ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” ในโครงการของ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” และอยู่ระหว่างเจรจากับ แลนด์แอนด์เฮ้าส์, พฤกษา, เอสซี แอสเสท อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชันนั้นแบ่งเป็นกลุ่ม B2B (SME) 70% และ B2C 30% โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้าน Residential Solar Market อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการนำเสนอโซลูชันที่ หลากหลายเพื่อตอบความต้องการของลูกค้า สำหรับโซลูชันใหม่ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและจะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยและสามารถเพิ่มยอดขายในกลุ่มหลังคาโซลาร์ หรือคิดสัดส่วนที่ 20% ของกลุ่มบ้านพักอาศัย ได้อย่างแน่นอน และจะช่วยสนับสนุนให้รายได้ ‘เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน’ เติบโตมากขึ้น 300% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้จากกลุ่มธุรกิจ เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน

ส่วนราคาแพ็กเกจเริ่มต้นการติดตั้ง SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” อยู่ที่ 99,000 บาทต่อ 1.3 กิโลวัตต์ ราคาสูงสุดราว 400,000 บาทต่อ 6 กิโลวัตต์ และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในการตัดสินใจด้านความคุ้มค่า “เอสซีจี” จึงได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำต่างๆ ของประเทศไทย ร่วมจัดทำข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้สนใจ SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” อาทิ ธนาคารกสิกรไทย มอบโปรโมชันแพ็กเกจพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ได้แก่ ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ และดอกเบี้ย 0% ในช่วง 3 เดือนแรก รวมถึงส่วนลดพิเศษสูงสุด 70,000 บาท และ Tops E-voucher 2,000 บาท รวมทั้ง ยังมีหลากหลายแพ็กเกจให้เลือกจากสถาบันการเงินอื่นๆ อาทิ UOB, TISCO เป็นต้น