ไทยออยล์ประเมินราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวในกรอบ67-74เหรียญฯ

ผู้ชมทั้งหมด 626 

ไทยออยล์ประเมินราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ67-74เหรียญฯ หลังความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ และอินเดียฟื้นตัว แต่ยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิเคราะห์บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ (16 – 20 ส.ค. 64) มีแนวโน้มทรงตัวหลังความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐอเมริกา และอินเดียฟื้นตัว แต่ยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยคาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 67 – 72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 69 – 74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ คือ ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังวุฒิสภาสหรัฐฯลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นโครงการการใช้จ่ายด้านสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีของสหรัฐฯ โดยจะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานในสหรัฐฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ปรับตัวสูงขึ้น

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานกำลังการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 6 ส.ค. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 277,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล ไปอยู่ที่ระดับ 227.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งสะท้อนถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในอินเดียเดือน ก.ค. 64 ปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 ที่เกิดการแพร่ระบาดหนักของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. 64 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ไปอยู่ที่ระดับ 16.83 ล้านตัน หลังอินเดียผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ต้องจับตาท่าทีของสหรัฐฯ หลังทำเนียบขาวสหรัฐฯ เผยว่าอยู่ในช่วงระหว่างการติดต่อไปยังสมาชิกกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (โอเปกพลัส) โดยระบุว่าไม่ได้เรียกร้องให้บรรดาผู้ส่งออกน้ำมันปรับเพิ่มปริมาณกำลังผลิต แต่มีเป้าหมายเพื่อการประสานงานในระยะยาว ซึ่งยังไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบสนองในทันที โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทางสหรัฐฯ ได้ขอให้ทางกลุ่มโอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพราะนโยบายการผลิตน้ำมันของโอเปกพลัสยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณการใช้น้ำมันของโลก

ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าทั่วโลกยังคงกดดันความต้องการใช้น้ำมัน โดยญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายจังหวัดครอบคลุมกว่า 70% ของประชากร ขณะที่จีนประกาศมาตรการจำกัดการเดินทางและยกเลิกเที่ยวบิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่วนสหรัฐฯ มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในรัฐที่มีการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับต่ำ

ส่วนอีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือการส่งออกของจีน โดยในเดือน ก.ค. 64 ขยายตัว 19.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากเดือน มิ.ย. 64 ที่เติบโตถึง 32.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าโดยเฉพาะทางตอนใต้และตะวันออกซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าของจีน และเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่และสภาพอากาศที่เลวร้ายในช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ค. 64 ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในหลายพื้นที่

ปัจจัยด้านสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น หลังตัวเลขการว่างงานสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากกว่าร้อยละ 5.4 ในเดือน ก.ค. 64 ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบมีราคาแพงขึ้น และมีความน่าสนใจลงทุนน้อยลง สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น

ส่วนเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกจีนและสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 64 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเดือน ก.ค. 64 จีดีพีสหภาพยุโรปไตรมาส 2/64 และรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)