ปตท.สผ.ตั้งเป้าปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยปี 65 โตขึ้นจากปี 64 ที่อยู่ในระดับ 417,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เหตุรับรู้กำลังผลิตเพิ่มจากแหล่งบงกชและเอราวัณ โครงการในมาเลเซีย และโอมาน เตรียมประกาศงบลงทุน 5ปี ในเดือนธ.ค.นี้
นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยในงาน OPPORTUNITY DAY บริษัทจดทะเบียน พบ ผู้ลงทุน Q3/2021 โดยระบุว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ คาดว่า ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยจะกลับมาเพิ่มขึ้น หลังจากไตรมาส3 ที่ผ่านมาได้ชัตดาวน์การผลิต ทำให้คาดว่า ทั้งปีนี้ จะมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 417,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ส่วนราคาก๊าซฯ คาดว่าจะอยู่ที่ 5.7 ดอลลาร์ต่อล้านบีทีอยู่ และจะรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ที่ 28-29 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ รวมถึง บริษท มีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา ที่ 70-75%

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นในปีนี้ คาดว่า จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยปีหน้า จะใกล้เคียงกับปีนี้ ที่อยู่ในระกับ 5.5 – 6 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันถือว่าค่อยข้างตรึงตัว จากการเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปกพลัสที่อาจเข้ามาไม่ทันกับความต้องการใช้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังมีทิศทางอยู่ในระดับสูง และอาจปรับตัวลดลงหลังไตรมาส1 หรือ อยู่ในระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ราคาก๊าซธรรมเหลว(LNG) ในตลาดจร(Spot) ปัจจุบัน อยู่ในภาวะผิดปกติ ราคาปรับสูงขึ้นมาก ตามความต้องการใช้ LNG ที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาวและการเปลี่ยนจากใช้ถ่านหินมาใช้ LNG ผลิตไฟฟ้าแทน ซึ่งราคา Spot LNG ปีหน้า คาดว่าจะปรับลดลงมาสู่ภาวะปกติได้

ส่วนปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยของบริษัทในปีหน้า คาดว่าจะยังเติบโตขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งเอราวัณ และแหล่งบงกช รวมถึงจะเริ่มทำการแผลิตใน คาดว่าโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ จะเริ่มผลิตน้ำมันดิบได้ไตรมาส 4 ปี 2564 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นประมาณ 10,000-13,000 บาร์เรลต่อวัน อีกทั้งจะมีกำลังผลิตจากโครงการในโอมานและมาเลเซียเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
“บริษัท อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุน 5ปี (2565-2569) ซึ่งตัวเลขเม็ดเงินลงทุนจะปรับให้สะท้อนกับโครงการลงทุนต่างๆ ที่ยังคงโฟกัสโครงการในประเทศไทย เมียนมา มาเลเซีย โอมาน และยูเออี เป็นหลัก คาดว่าจะประกาศความชัดเจนแผนลงทุนได้ในช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้”

นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในปัจจุบัน ไม่มีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากบริษัทใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการบันทึกบัญชี ดังนั้นจะไม่มีผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับความคืบหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมา (Integrated Domestic Gas to Power) ปัจจุบัน สามารถเข้าพื้นที่ได้บางส่วนแล้ว โดยบริษัทยังไม่มีแผนที่จะดำเนินโครงการใหม่ๆในเมียนมา แต่จะยังโฟกัสโครงการที่มีอยู่แล้ว เช่น โครงการ M3 และโครงการ Gas to Power ซึ่งการดำเนินธุรกิจในเมียนมานั้น ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 10-12% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้ เมียนมาจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในประเทศ แต่ธุรกิจของบริษัทยังสามารถรักษาการผลิตได้ตามแผน จึงไม่มีผลกระทบใดๆต่อบริษัท อีกทั้งยังมีแผนฉุกเฉินไว้รองรับต่อสถานการณ์ด้วย