BANPUปี64ฉายแววเด่นทุกธุรกิจหนุนเติบโต

ผู้ชมทั้งหมด 1,541 

BANPU ปี 64 แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น หลังทุกธุรกิจมีทิศทางเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งธุรกิจถ่านหิน-ก๊าซธรรมชาติราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ธุรกิจไฟฟ้าจ่ายไฟเพิ่ม ขณะที่พลังงานสะอาดเร่งขยายพอร์ตสัดส่วนกำไรสู่ระดับ 50% ในปี 68 ส่วนภาพรวมปี 63 ขาดทุนสุทธิ 56 ล้านเหรียญฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการดำเนินงานของ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ในปี 2564 นั้นมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 เนื่องจากราคาถ่านหินในปี 2564 นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 4/2563 ที่ผ่านมาเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีราคาถ่านหิน The Newcastle Export Index (NEX) ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาอยู่ใยนระดับ 89.8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่แนวโน้มราคาถ่านหินในปี 2564 ก็คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2563 ตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยประเมินกรอบระยะสั้นที่ 85-90 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ความต้องการใช้ก็คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวหลังจากทั่วโลกเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19

ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงไปสู่พลังงานที่สะอาดขึ้น (Bridging Energy) ที่มีกำลังการผลิตรวมกัน 2 แหล่ง คือ แหล่งบาร์เนนต์ กับ แหล่งมาร์เซลลัสอยู่ที่ประมาณ 600-700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติ จากที่มีศักยภาพในการผลิต 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติ หรือเป็นขนาด 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และมีกำลังการผลิตเป็นอันดับที่ 19 ของสหรัฐฯ และจะขยายกำลังการผลิตให้เต็มศักยภาพหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเปิดหลุมใหม่ และราคาก๊าซธรรมชาติ โดยราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาอยู่ในระดับ 3.1 เหรียญสหรัฐต่อ MMBTU ปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 63 ที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.6 เหรียญสหรัฐต่อ MMBTU

ส่วนกรณีที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายสนับสนุนการลงทุนพลังงานสะอาดนั้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ของกลุ่มบ้านปู เนื่องจากการผลิตก๊าซธรรมชาติโจ ไบเดน ยังให้การสนับสนุนอยู่เพราะเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าในสหรัฐฯ โดยการใช้พลังงานสะอาดผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันสัดส่วนใหญ่มาจากก๊าซธรรมชาติ ขณะที่พลังงานทดแทนก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เป็นสัดส่วนขนาดเล็ก

พร้อมกันนี้ BANPU ยังได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP โดยในปี 2564 เตรียมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม เคนซึโนวะ และซิราคะวะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ ทยอย COD ในไตรมาส 3-4/ 2564 และรับรู้รายได้เต็มปีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมวินเจา ประเทศเวียดนาม เฟส 1 ขนาดกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ และยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมดที่ 3,097 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามภายในปี 2568 นั้นกลุ่มบ้านปูมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,600 เมกะวัตต์ และเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 6,100 เมกะวัตต์

ธุรกิจพลังงานสะอาดภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บ้านปูเน็กซ์ จำกัด (BANPU NEXT) ก็อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการขยายสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้น และให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter โดยในระหว่างปี 2564-2568 กลุ่มบ้านปูมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรของธุรกิจพลังงานสะอาดเพิ่มมากกว่า 50% โดยจะมุ่งนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าจากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานครบวงจรใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2563 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 563 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 20 เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง โดย EBITDA จากธุรกิจถ่านหินจำนวน 340 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ30) ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมี EBITDA จำนวน 54 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 21) และ ธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 169 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16) งบการเงินรวมรายงานผลขาดทุนสุทธิ  56 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้รวมผลกำไรจากการแปลงค่างบการเงินจำนวน 81 ล้านเหรียญสหรัฐแม้ว่ามีการ แข็งค่าของสกุลเงินบาทต่อสกุลเงินเหรียญสหรัฐเทียบกับปีก่อน

สำหรับไตรมาส 4/2563 กลุ่มบริษัทบ้านปูมี EBITDA รวม 181 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย EBITDA จาก ธุรกิจถ่านหิน 94 ล้านเหรียญสหรัฐ EBITDA จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจำนวน 39 ล้านเหรียญสหรัฐ และ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 48 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสนี้ผลการดำเนินงานของกลุ่มบ้านปูได้พลิกกลับมาเป็นบวก โดยมีกำไรจากการดำเนินงานรวม 14 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินบาทเมื่อเทียบกับ สกุลเงินดอลล่าร์ทำให้รับรู้ผลขาดทุนจากการแปลงค่าสกุลเงินจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นจึงรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ