BBGI มั่นใจปี 2568 ยอดขายพุ่งทำสถิติสูงสุด

ผู้ชมทั้งหมด 814 


บีบีจีไอ คาดการณ์ปี2568 ยอดขายพุ่งทำสถิติสูงสุด รับรู้ผลการดำเนินงานผ่านยอดขายของ BSRC เพิ่มขึ้น รวมถึงโรงงานผลิตSAF และโรงงาน CDMO เปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ต้นปี 2568 ขณะที่ปี2567 ตั้งเป้ารายได้โต 30% จากปี 2566 เตรียมตอกเสาเข็มโรงงาน CDMO เฟส 1 พ.ค.นี้ เล็งขยายเฟส 2 รับดีมานด์เพิ่ม


นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของ BBGI ในปี 2568 คาดการณ์ว่า ยอดขายพุ่งทำสถิติสูงสุด (All Time High) โดยในส่วนของรายได้กำไรจะเติบโตก้าวกระโดด จากปี 2566 ที่มีรายได้ 13,757 ล้านบาท EBITDA 667 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% และทั้งปีพลิกเป็นบวก มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท โดยในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 30% จากปี2566


สำหรับปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในช่วงปี 2567-2568 นั้น คาดว่า ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ จะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากการที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เข้าซื้อหลักทรัพย์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ส่งผลให้ปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลของบริษัทเติบโตขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้เอทานอนยังเติบโต และราคาวัตถุดิบยังอยู่ในระดับสูง


อีกทั้ง ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF ที่สอดรับนโยบายดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายหลัก พร้อมด้วย BBGI ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) โดย BBGI ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน ตั้งเป้าเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 1/2568 เตรียมผลิตและจัดจำหน่าย SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้วเป็นรายแรกในประเทศไทย กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 1,000,000 ลิตรต่อวัน เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากกว่า 80% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero GHG Emissions ในปี ค.ศ. 2050


นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) โดย BBGI ร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์ด้วยกระบวนการหมักแม่นยำขั้นสูง และก่อตั้งบริษัทร่วมทุน BBFB (BBGI Fermbox Bio) ซึ่งเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง(Precision Fermentation) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดย BBGI เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 75% นับเป็นการ ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำไบโอเทคโนโลยีระดับภูมิภาค โดยอาศัยความรู้ทางด้านเทคโนโลยีต่อยอดจากประสบการณ์ของBBGI และใช้ Know-how ผู้เชี่ยวชาญที่มีน้อยราย ในการผลิตเซลลูโลซิก เอนไซม์ (Cellulosic Enzyme) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม


โดยโรงงาน CDMO ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เรียบร้อยแล้ว ด้วยกำลังการผลิตในระยะแรก 2 แสนลิตร ประกอบด้วยถังหมักขนาดใหญ่ 1 แสนลิตร จำนวน 2 ถัง ซึ่งเป็นถังหมักที่มีขนาดใหญ่กว่าอินเดียกว่า 2 เท่า และบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมให้ได้ถึง 1 ล้านลิตร ในระยะต่อไป โดยมีเงินลงทุนในระยะแรก 440 ล้านบาท ตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากในประเทศ


ปัจจุบัน อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่า จะเริ่มตอกเสาเข็มภายในเดือน พ.ค.นี้แล้วเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มผลิตช่วงต้นปี 2568 และมีแผนขยายการลงทุนในเฟสต่อไป พร้อมส่งออกไปจำหน่ายภายในภูมิภาค ซึ่งการขยายการลงทุนในเฟสที่ 2 และ 3 นั้น ยังต้องรอดูดีมานด์ หากขยายในเฟสที่ 2 ก็จะเริ่มดำเนินการได้ในไม่ช้า เพราะเป็นการจัดตั้งถังหมักเพิ่มในพื้นที่โรงงานเดิม แต่หากเป็นการขยายเฟสที่ 3 ที่ต้องมีกำลังการผลิตระดับ 2 แสนตันขึ้นไปนั้น อาจต้องใช้เวลา เพราะจะต้องก่อสร้างโรงงานขึ้นใหม่


“การต่อยอดธุรกิจสู่ High Value Product จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ไบโอเทค อยู่ที่ราว 5-100 ดอลลาร์ต่อลิตร ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ขณะที่ไบโอฟิว จะอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ต่อลิตร หรือ ราวกว่า 30 บาทต่อลิตร”


ส่วนความคืบหน้าความร่วมมือระหว่าง Aleph Farms ที่เป็นบริษัททำการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cellular Agriculture) กับ BBGI บริษัทผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ และ Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อที่จะเพิ่มกำลังผลิตเนื้อจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cultivated Meat) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของแพลตฟอร์มการเพาะเลี้ยงเซลล์นั้น เบื้องต้น ทาง Aleph Farms เตรียมเดินทางมาไทย ในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ เพื่อดูความเหมาะสมของสถานีที่ในการจัดตั้งถังหมัก ซึ่งได้จัดเตรียมทางเลือกไว้ 2 พื้นที่ คาดว่าจะมีความชัดเจนในการเลือกสถานที่เร็วๆนี้ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็นการส่งออก


“เงินลงทุนหลักในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยใช้ลงทุนใน SAF ประมาณ 1,600 -2,000 ล้านบาท และใช้ใน CDMO ประมาณ 440 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ ก็มาจากเงินIPO ส่วนแผน M&A โครงการใหญ่ๆคงไม่เห็นในเร็วๆนี้ เพราะแค่ 2 โครงการนี้ คือ SAF และ CDMO ก็สามารถขยายการลงทุนได้อีกมาก”