BPP ปี 67 ทุ่มงบ 500-600 ล้านเหรียญฯ ลุยซื้อโรงไฟฟ้ากว่า 800-1,000 เมกะวัตต์

ผู้ชมทั้งหมด 819 

BPP ปี 67 ทุ่มงบ 500-600 ล้านเหรียญฯ ลุยซื้อโรงไฟฟ้ากว่า 800-1,000 เมกะวัตต์ เน้นขยายลงทุนในสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ทั้งพลังงานก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทน ขณะที่รายได้รวมปี 66 คาดโต 70% ทำนิวไฮ

นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า แผนการลงทุนในปี 2567 บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 500 – 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการลงทุนขยายโรงไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มเติมอีกประมาณ 800-1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นการลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทน และเน้นเข้าไปขยายการลงทุนในประเทศที่บ้านปูเพาเวอร์ได้มีการลงทุนอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะเห็นการปิดดีลซื้อกิจการเพิ่มในรัฐเท็กซัส อย่างไรก็ตามการลงทุนในปีหน้าต้องระมัดระวังเรื่องภาวะอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังเป็นขาขึ้น และเรื่องจีโอโพลิติกส์ (Geo politics) ซึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการลงทุน การพิจารณาซื้อโรงไฟฟ้าก็ต้องเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงมีราคาที่เหมาะสม

นอกจากนี้บ้านปูเพาเวอร์ยังมีแผนการลงทุนสร้างระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า สร้างผลตอบแทนในการลงทุนเพิ่มขึ้น พร้อมต่อยอดขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าอื่นๆ ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการลงทุนในปีหน้าบริษัทฯ มีศักยภาพเพียงพอ หากมีดีลที่เหมาะสมบริษัทก็สามารถกู้เงินสถาบันการเงินได้ เนื่องจากบ้านปูเพาเวอร์มีหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.4 เท่า ยังมีความสามารถกู้เงินได้อีกเยอะ

“ประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นประเทศที่มีผู้รับซื้อไฟฟ้าหลายราย อย่างรัฐเท็กซัสที่บ้านปูเพาเวอร์ไปลงทุนเป็นตลาดซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี การลงทุนเมกะวัตต์เยอะก็อาจจะไม่ได้กำไรเยอะตาม ก็ต้องหาทางเพิ่มกำไรจาก Value Chain ของธุรกิจโรงไฟฟ้า ดังนั้นเราต้องสร้าง Value Chain ขึ้นมาเราต้องเป็นมากกว่าโรงไฟฟ้าต้องลงทุนอย่างอื่นด้วย เพื่อเสริมศักยภาพให้กับโรงไฟฟ้า ยกตัวอย่างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple II เราได้ที่ดินมาเยอะมาอยู่รอบโรงไฟฟ้า ซึ่งก็พิจารณาอยู่ว่าจะลงทุนสร้างระบบกักเก็บพลังงาน และโซลาร์ฟาร์ม” นายกิรณ กล่าว

ทั้งนี้ในปัจจุบันนั้นบ้านปูเพาเวอร์มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือรวมประมาณ 3,900 เมกะวัตต์ ต้องขยายการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 1,400 เมกะวัตต์ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ในปี 2568 โดยสัดส่วนกำลังการผลิตส่วนใหญ่กว่า 85% เป็นสัดส่วนในต่างประเทศ ซึ่งในอนาคตก็คาดว่าสัดส่วนในต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าบ้านปูเพาเวอร์เน้นการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (แผน PDP) ดังนั้นในปัจจุบันการลงทุนในประเทศไทยจะให้ความสำคัญลงทุนโซลาร์รูฟท็อป

นายกิรณ กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า คาดว่ารายได้รวมของบริษัทฯ จะเติบโตประมาณ 70% ทำรายได้นิวไฮ เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 24,501 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของโรงไฟฟ้า  ก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แห่งในสหรัฐฯ ได้แก่ Temple I ที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนเมื่อปลายปี 2564 และ Temple II เมื่อกลางปี 2566 ส่วนภาพรวมรายได้ในปี 2567 ก็มั่นใจว่าจะเติบโตเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2566 เนื่องจากจะเติบโตตามแผนที่ซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเข้ามาเพิ่ม