EGCO ปักหมุดสหรัฐฯ ลุยขยายกำลังการผลิต 1,000 MW

ผู้ชมทั้งหมด 620 

EGCO อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ลุยปิดดีลโครงการใหม่ 1,000 เมกะวัตต์ เล็งขยายกำลังการผลิตเพิ่มในสหรัฐฯ ทั้งพลังงานฟอสซิล พลังงานหมุนเวียน และการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน มั่นใจปี 65 ผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่ง

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 2565 EGCO คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564 มีรายได้ 42,093 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,104 ล้านบาท เติบโตตามการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานแบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” และการลงทุนใน “เอเพ็กซ์” และการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ 3 โครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2565 ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสมดุลในพอร์ตโฟลิโอและจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

ขณะเดียวกันในปี 2565 EGCO เตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาท เพื่อมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า แสวงหาโอกาสสร้างการเติบโตตามทิศทางพลังงานโลก โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในปีนี้ราว 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนนี้จะเน้นการลงทุนทั้งเชื้อเพลิงพลังงานจากฟอสซิล คือ จากก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งขยายการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะเป็นการลงทุนในโครงการใหม่และโครงการที่มีอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ทั้งนี้ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการ (M&A) ประมาณ 5 โครงการ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีเป้าหมายขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากในด้านทรัพยากรและความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง หลังจากได้เข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 17.46% ในบริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง แอลแอลซี (เอเพ็กซ์) โดยการเข้าไปถือหุ้นในเอเพ็กซ์ก็เป็นโอกาสในการขยายการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ควบคู่พัฒนาเทคโนโลยี “การผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน (Hydrogen to Power)”

สำหรับเอเพ็กซ์ นั้นเป็นบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยหลังจาก EGCO เข้าไปถือหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา เอเพ็กซ์ได้จำหน่ายโครงการพลังงานลมไปแล้ว 2 โครงการ กำลังผลิต 496 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในปี 2564 EGCO รับรู้กำไรจากการดำเนินงานของเอเพ็กซ์ จำนวน 435 ล้านบาท ปัจจุบันเอเพ็กซ์มีโครงการพลังงานสะอาดที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 492 เมกะวัตต์ นอกจากนั้นยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีกกว่า 42,000 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ EGCO ยังได้ร่วมกับพันธมิตร และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ศึกษาและพัฒนา “การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน ด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงชนิดออกไซด์แบบแข็ง (SOFC) และเทคโนโลยีแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (SOEC)” ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยจุดเด่นด้านการติดตั้งที่ง่ายและยืดหยุ่น การผลิตไฟฟ้าที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ รวมทั้งมีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศและน้ำที่ต่ำมากจนเกือบจะเป็นศูนย์ จึงเป็นการปิดจุดอ่อนของการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน

โดยปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้แล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ รวมกำลังผลิตประมาณ 600 เมกะวัตต์ ส่วนการลงทุนของ EGCO คาดว่าจะได้เริ่มเห็นการลงทุนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 โครงการ ซึ่งในระยะแรกอาจจะลงทุนในโครงการที่ไม่ใหญ่มาก ขนาดกำลังการผลิตราว 4-10 เมกะวัตต์               

“เอ็กโก กรุ๊ป พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดรับกับทิศทางพลังงานโลก ด้วยการต่อยอดการลงทุนพลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านเอเพ็กซ์ ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแห่งอนาคตรุ่นถัดไป เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์ การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย” นายเทพรัตน์กล่าว

พร้อมกันนี้ EGCO ยังมองโอกาสขยายกำลังการผลิตในประเทศไทย ซึ่งต้องรอความชัดเจนในการเร่งเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุยเวียนของกระทรวงพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ชีวมวล ชีวภาพ ซึ่ง EGCO ให้ความสนใจที่จะเข้าประมูลในโครงการพลังงานลม

อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน EGCO มีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) และอยู่ระหว่างก่อสร้างตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 5,959 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน 23% ถ่านหิน 23% และเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 54% ซึ่งหากในปีนี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้กำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่ม 1,000 เมกะวัตต์ก็จะส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 6,959 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกันการขยายการลงทุนในปีนี้ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานในรูปแบบ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” ด้วยการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573