ผู้ชมทั้งหมด 522
GC คาด รายได้ปีนี้เติบโตขึ้น ตามทิศทางของยอดขายและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ชี้ กลุ่มโรงกลั่นฯ ยังทำกำไรได้ดีหนุนผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ ขณะที่โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (OMP) เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ไตรมาส 2ปีนี้ เผยระยะสั้นยังไม่มีดีล M&A ขนาดใหญ่
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยในงาน Oppday Q1/2023 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2566 โดยระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 2566 คาดว่า ยอดขายจะเพิ่มขึ้น ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการปิดซ่อมบำรุงที่น้อยลง รวมถึงมีกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา ก็คาดว่าในส่วนของรายได้จะมีการเติบโตขึ้น แต่อย่างไรดี ในเรื่องของมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะยังมีความผันผวนตามภาวะตลาดโลก
โดยธุรกิจUpstream ในส่วนของโรงกลั่น คาดว่าปีนี้ยังเป็นตัวที่ทำกำไรได้ดีอยู่ แม้จะย่อตัวลงจากไตรมาส 1ที่ผ่านมา จะเห็นว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด) ผลิตภัณฑ์หลังอย่างแก๊สโซฮอล์ และดีเซล สเปรดลดลงมาอยู่ที่ 12 -14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับต้นปีที่สูงกว่านี้ แต่ช่วยที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะยังขับเคลื่อนต่อไปได้และเป็นตัวสนับสนุนผลประกอบการของบริษัท
ส่วนปิโตรเคมี ตัวผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ ในช่วงไตรมาส 1/66 ดีมากตามฤดูกาล แต่ในช่วงที่เหลือของปีอาจอ่อนตัวลงบ้าง ขณะที่ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ คาดว่า น่าจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นทั้งในส่วนของราคาและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
ด้านธุรกิจ Intermediates โดยเฉพาะ ฟี นอล (Phenol) ปีนี้ก็ยังเป็นปีที่อยู่ภายใต้ความกดดันก็คงขับเคลื่อนผลประกอบการไม่ได้ดีมากนัก ในส่วนของธุรกิจ BiO & Circularity ก็ยังคงทรงๆ ส่วนธุรกิจ Performance Chemicals โดยหลักจะเป็นการลงทุนของ Allnex คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้จากธุรกิจร่วมลงทุน(JV) ก็คาดว่า ครึ่งปีหลังในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมิคอล บางตัวก็น่าจะกลับเข้ามาเสริมผลประกอบการให้กับบริษัท รวมถึงภาพรวม feedstock ตัวก๊าซที่จะได้มาช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะมากหรือน้อยยังต้องติดตามผลกระทบในแง่สเปรดของแต่ละช่วงเวลาจะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ เรื่องผลกระทบของสต็อก หลังจากไตรมาส1 ที่ผ่านมา ขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน ก็ยังต้องติดตามดูว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับใด โดยในไตรมาส 1 ปิดอยู่ที่ 78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็คาดว่าช่วงปีนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70 -80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็อาจมีผลกระทบบวกลบบ้างในบ้างไตรมาส ซึ่งบริษัทก็พยายามลดผลกระทบด้วยการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน
ขณะที่การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของบริษัทได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในปีที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจUpstream 2.ธุรกิจ Polymers & Chemicals 3.ธุรกิจ Intermediates 4.ธุรกิจ BiO & Circularity และ 5.ธุรกิจ Performance Chemicals ทำให้แต่ละสายงานมีการลงทุนที่โฟกัสมากขึ้น รวมถึงธุรกิจที่กระจายอยู่ตามบริษัทย่อย ได้ดำเนินการควบรวมบริษัท เพื่อให้บริหารจัดการได้ดี ซึ่งปีนี้ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 2 บริษัท PTT Phenol และ GC Oxirane คือ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนลงเกือบ 200 ล้านบาทต่อปี
ส่วนแผนการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) ในช่วง 1-2 ปีนี้ ยังไม่ได้โฟกัส เนื่องจากที่ผ่านมาได้เข้าไปซื้อกิจการธุรกิจขนาดใหญ่ของ Allnex เมื่อปี 2565 ก็มุ่งที่จะส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของ Allnex ให้เติบโตให้บรรลุเป้าหมายทรานฟอร์มภาพพอร์ตโฟลิโอของบริษัทให้มีส่วนแบ่งvy9ikกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) จากธุรกิจ Performance Chemicals มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทก็มุ่งเน้น ธุรกิจ BiO & Circularity ล่าสุด ปีนี้ ก็ได้ลงทุนโรงงานไบโอพลาสติกแห่งใหม่ในประเทศไทย ของบริษัท NatureWorks ซึ่งบริษัท ก็ถือหุ้น 50% และการลงทุนกับ คาร์กิล จากสหรัฐ ในการสร้างโรงงานพลาสติกชีวภาพแบบครบวงจร ที่คาดว่าจะขยายความร่วมมือมากขึ้นในอนาคต
ส่วนความคืบหน้า โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) หรือ OMP ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับปรุงอื่นๆของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป
สำหรับผลกระทบกรณีจีนเปิดประเทศนั้น ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นที่คาดการณ์ของตลาดอยู่แล้วว่ากำลังการผลิตใหม่ในจีน โดยเฉพาะพวกปิโตรคอมเพล็กซ์จะเข้ามาในตลาดในช่วงปี 2554-2566 ซึ่งปีนี้ น่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเป็นล็อตสุดท้าย ฉะนั้นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ภาพรวมตลาดน่าจะดีขึ้น โดยสิ่งที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ว่าราคาผลิตภัณฑ์ไม่ได้ปรับขึ้นตาม ซึ่งอาจเป็นผลจากความต้องการใช้(ดีมานด์)ที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาด้วย โดยบริษัท ได้พิจารณากลยุทธ์ต่างๆที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งการหาตลาดใหม่ เช่น CLMV หรือ การเข้าไปเจาะตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (high value products) คือ ตัวเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (polyethylene – PE) ที่มีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มรักษายอดขาย รวมถึงราคาไม่ให้ลดลง ซึ่งก็เป็นในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
ขณะเดียวกันในภาพใหญ่ บริษัท ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นการลงทุนในส่วนของกลุ่ม High Value Business (HVB) เช่น การลงทุน coating เพิ่มเติม ซึ่งจะเข้ามาช่วยพอร์ตโฟลิโอของบริษัทให้มีกำไรมากขึ้น