GGC คาดยอดขายผลิตภัณฑ์ปี65 โตขึ้นจากปี64

ผู้ชมทั้งหมด 813 

GGC หวังผลประกอบการปี65 โตต่อเนื่องจากปี 64 คาดยอดขาย “กลีเซอรีน-แฟตตี้แอลกอฮอล์-ไบโอดีเซล” เพิ่มขึ้นรับความต้องการใช้ ขณะที่โครงการนคนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 1 เริ่มการผลิตเอทานอล มี.ค.นี้ ส่วน เฟส 2 เตรียมส่งมอบพื้นที่ NatureWorks ต้นเดือนเม.ย.นี้ตามแผน         

นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยในงาน Oppday Year End 2021 โดยระบุว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ในส่วนของตลาดไบโอดีเซล(บี 100) ยังคงแข่งขันดุเดือด โดยคาดหวังว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดีขึ้นหลังจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน และภาครัฐผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องจับตามาตรการของภาครัฐว่าจะมีการออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างไร หลังราคาดีเซลในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งในภาพรวมก็ประเมินว่า ยอดขายไบโอดีเซล (เมทิลเอสเทอร์) จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 โดยบริษัท จะพยายามบริหารจัดการเพื่อให้ยอดขายและราคาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ขณะที่ แฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตเต็มศักยภาพอยู่ที่ 1 แสนตัน

รายได้ปีนี้ ตัวยอดขายผลิตภัณฑ์กลีเซอรีน ยังเป็นรายได้หลัก รวมถึงแฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายเป็นราคาตลาดโลกและมีรายได้เป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่บริษัทได้ทำประกันความเสี่ยง รวมถึงเข้มการบริหารจัดการสต็อกเพื่อให้เกิดกำไรและลดปัญหาการขาดทุนสต็อกให้น้อยที่สุด”

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ คาดว่า ผลผลิตน้ำมันปาล์ม(CPO) จะเพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อน ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ผลผลิตจะยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก ดังนั้น ราคาบี 100 น่าจะยังอยู่ในระดับสูง และเริ่มอ่อนตัวลงในไตรมาส 2 ตามผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนมี.ค.- เม.ย.นี้

ขณะความต้องการใช้CPO ทั่วโลกยังเติบโต แต่ในประเทศไทย ยังต้องติดตามดูนโยบายของภาครัฐ หลังจากมีมาตรการลดส่วนผสมบี100 ในน้ำมันดีเซล เหลือ 5% จากเดิม 7% ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ว่าภาครัฐจะมีมาตรการอย่างไร เพราะจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อดีมานด์การใช้ไบโอดีเซลในปีนี้ ซึ่งบริษัท จะต้องปรับปรุงการผลิตและการขาย เพื่อลดผลกระทบมาร์จินต่อหน่วยให้สามารถรักษาระดับการแข่งขันและรักษาอัตรา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่ดี

สำหรับความคืบหน้า โครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) ที่บริษัท ร่วมกับกลุ่ม KTIS ดำเนินโครงการใน ระยะที่ 1 มูลค่า 7,500 ล้านบาท ได้เปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับฤดูกาลหีบอ้อย ทำให้คาดว่าจะสามารถเริ่มการหีบอ้อย เพื่อผลิตเอทานอลได้ในเดือนมี.ค.นี้

ส่วนโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท หลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด(PLA) ซึ่งจะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ วางระบบน้ำประปา ในพื้นที่นั้นได้เริ่มการปรับที่ดินแล้ว คาดว่า จะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับ NatureWorks ได้ในช่วงเดือนเม.ย.นี้ เพื่อเริ่มก่อสร้างโครงการต่อไป โดยตามกำหนดแล้ว โครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2567