ผู้ชมทั้งหมด 152
ปตท.คาดผลประกอบการไตรมาส 2ปีนี้ ดีขึ้นจากไตรมาส 1 ชี้ต้นทุนราคาก๊าซฯปรับลดลง ธุรกิจไฟฟ้ามาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวหนุนยอดขายน้ำมัน แม้ธุรกิจปิโตรเคมี ยังได้รับผลกระทบจากกำลังผลิตเพิ่ม ส่วนธุรกิจใหม่(EV) บริษัทร่วมทุน “เอไอออเนกซ์” เตรียมส่งมอบรถไฟฟ้า 2 ล้อในปีนี้ พร้อมเล็งจ้าง OEM ในไทยผลิตและประกอบรถภายใน 3-5 ปี ด้าน “นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย” ลุยเจรจาลูกค้าลุยก่อสร้างโรงงานผลิต คาดเสร็จปี 2568 ส่วน “เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น (“FT1”)” อยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุน คาดชัดเจนภายไตรมาส 3-4 ปีนี้ หวังรุกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2024/05/S__153624873_0-1024x578.jpg)
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผย ในงาน Oppday Q1/2024 PTT วันที่ 27 พ.ค.2567 โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของปตท.ในช่วงไตรมาส 2 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แม้ว่าราคาปิโตรเคมีจะมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก และกำลังการผลิตที่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจก๊าซฯ ยังขึ้นอยู่กับต้นทุนและราคาขาย ซึ่งคาดว่าราคาก๊าซฯ และ Spot LNG ที่นำเข้าปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมาทำให้ต้นทุนก๊าซฯโดยรวมลดลง แต่อย่างไรก็ดี ปตท.ยังคงได้รับความเสี่ยงจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯไปใช้ระบบกลไกราคา “Single Pool Gas Price”
“ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางการดำเนินงานของปตท.ในปีนี้ ในส่วนของ IMF ได้คาดการณ์ GDPโลกจะเติบโตอยู่ที่ 3.2% และGDPไทย เติบโต 2.7% จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซฯ ซึ่งปตท.คาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้จะอยู่ในกรอบ 79-89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก๊าซLNG อยู่ที่ 9.7-10.7 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู และค่าการกลั่น SG GRM จะอยู่ที่ 5.7-6.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล”
ส่วนทิศทางการดำเนินงานของธุรกิจในกลุ่มปตท.ในปี2567 ในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม(E&P) ภายใต้การลงทุนของ ปตท.สผ.คาดว่า ปริมาณการขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศของโครงการ G1/61(เอราวัณ) และปตท.สผ.ยังคงรักษาต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ แต่อย่างไรก็ดีราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจากปริมาณการขายของG1/61 ที่เข้ามาเพิ่มเติม
ธุรกิจก๊าซฯ แม้ว่าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนราคาSpot LNG ที่ลดลง แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาสู่ระบบกลไกราคา “Single Pool Gas Price” จะส่งผลให้มาร์จิ้นธุรกิจก๊าซฯลดลง อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการใช้ก๊าซฯในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น และโรงแยกก๊าซฯจะมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ตามกำลังการผลิตก๊าซฯในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อีกทั้งการปิดซ่อมบำรุงโรงแยกฯที่น้อยลงในปีนี้
ด้านธุรกิจน้ำมันคาดว่าปริมาณการขายจะฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น คาดว่ายังได้รับแรงจากสภาวะเศรษฐกิจและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้ค่าการกลั่นปีนี้ ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)ของธุรกิจปิโตรเคมียังลดลง แต่คาดว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ความต้องการใช้จะฟื้นตัวขึ้นได้
ส่วนธุรกิจไฟฟ้า คาดว่า ความต้องการใช้จะฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น และมาร์จิ้นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าทั้งจากราคาก๊าซฯ และถ่านหินที่ลดลง
ด้านธุรกิจใหม่ ในส่วนของธุรกิจEV คาดว่า ความต้องการใช้รถEV ยังเติบโตขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงจากการผลิตรถของฝั่งจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีความได้เปรียบจากต้นทุนและภาษี เข้ามาแข่งขันด้านราคากับผู้เล่นรายอื่นๆ ส่วนธุรกิจ Life science คาดว่า จะรักษาการผลิตและจำหน่ายยา Pharma ได้ทั้งในเอเชียและสหรัฐฯได้ในปริมาณเดิม
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2024/05/S__153624872_0-1024x572.jpg)
สำหรับความคืบหน้าของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่กลุ่มปตท.ลงทุนผ่าน บริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (Nuovo Plus) และ บริษัท โกชั่น ไฮเทค จำกัด (Gotion) ในสัดส่วนการลงทุน 51% และ 49% ตามลำดับ เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า ประกอบ และจัดจำหน่ายโมดูลแบตเตอรี่และชุดแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)นั้น ได้เปิดโรงงานไปแล้วเมื่อปลายเดือนธ.ค.2566 และปัจจุบันได้ส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูงให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งได้มีการจัดตั้ง บริษัท เอไอออเนกซ์ จำกัด (Aionex) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นทางอ้อม 100%) กับ บริษัท Kwang Yang Motor Co., Ltd. (KYMCO) และบริษัท KYMCO CAPITAL PRIVATE EQUITY MANAGEMENT Co., Ltd. (KC) (บริษัทย่อย ที่ KYMCO ถือหุ้น) เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและผลิตรถไฟฟ้า 2 ล้อ รวมถึงให้บริการสลับแบตเตอรี่สำหรับรถไฟฟ้า 2 ล้อนั้น ธุรกิจดังกล่าวมีแผนจะเริ่มส่งมอบภายในปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะจ้างOEM ในไทย เพื่อทำการผลิตและประกอบรถภายใน 3-5 ปี และในอนาคตจะพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งโรงงานผลิตเอง
ส่วนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ที่นอกจากทางกลุ่มปตท.จะมีความร่วมมือกับ บริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด (Foxconn)แล้ว ยังมีความร่วมมือผ่าน บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กลุ่มบริษัทอรุณ พลัส และ กลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (MGC-ASIA) เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในประเทศไทย เช่น บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า บริการประกันภัย บริการสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่ง สินเชื่อรีไฟแนนซ์และการเงินอย่างครบวงจร บริการให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า บริการหลังการขาย ศูนย์เช็คระยะ เปลี่ยนอะไหล่ ตลอดจนซ่อมสีและตัวถัง เป็นต้นนั้น ได้เปิดตัวรถแล้ว 2 แบรนด์( แบรนด์ XPENG (เอ็กซ์เผิง) และ ZEEKR (ซีคเกอร์))ในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มส่งมอบรถในปีนี้ ส่วนตัวโรงงานอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2568
ขณะที่การจัดตั้ง บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (“FT1”) ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท นิว เวอ ซอลล์ จำกัด (“NewVersal”) (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นทางอ้อม 100%) กับบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (“HANA”) ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ 49% ตามลำดับ เพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ซึ่งเป็น หนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยในการยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ และได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2567นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 3-4 ปีนี้