ผู้ชมทั้งหมด 1,322
PTTEP ยันโครงการผลิตก๊าซฯ ในเมียนมายังผลิตตามปกติ พร้อมมั่นใจแผนส่งเสริม EV จะไม่กระทบ คาดก๊าซฯขายได้เพิ่มขึ้น ส่วนโครงการแผนผลิตไฟฟ้า GAS TO POWER ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในปี 2565
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) เปิดเผยในระหว่างการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ว่า โครงการลงทุนผลิตปิโตรเลียมในเมียนมาปัจจุบันยังคงดำเนินการผลิตต่อเนื่องตามปกติ แม้จะเกิดการประท้วงอย่างรุ่นแรงก็ตาม เนื่องจากเป็นสัญญาที่ผูกพันระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย โดย ปตท.สผ. ให้ความสำคัญพับความปลอดภัยของพนักงาน ความมั่นคง และยึดถือหลัก สิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติเป็นสำคัญ ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการผลิต ประกอบด้วย โครงการซอติก้า, โครงการยาดานา, โครงการเยตากุน
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/04/PTTEP-CEO_Phongsthorn-Thavisin-1-1024x620.jpg)
ทั้งนี้โครงการผลิตปิโตรเลียมในเมียนมานั้นทาง ปตท.สผ. มีการร่วมาดำเนินธุรกิจมาประมาณ 30 ปี ตามพันธกิจเดียวกับรัฐบาล คือ สร้างความมั่นคงพลังงาน ควบคู่สร้างคุณค่ายั่งยืนให้กับทุกฝ่าย มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านปิโตรเลียมให้กับชาวเมียนมา มีการจ้างงานต่อเนื่อง และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวเมียนมา ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Integrated Domestic Gas to Power)
ขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างทำแผนงานโดยตามกำหนดการจะมีการตัดสินใจการลงทุนขั้นสุดท้ายในปี 2565 ส่วนเป้าหมายปริมาณการขายปิโตรเลียมในปี 2564 นั้นได้ปรับลดเป้าหมายลงเหลือ 350,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากเดิมตั้งที่ประมาณ 390,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เนืองจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบก็มีความผันผวน
พร้อมกันนี้จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 บริษัทได้ปรับแผนดำเนินการรับวิกฤติไม่ว่าจะเป็นการให้พนักงานทำงานที่บ้านลดการติดเชื้อ โครงการช่วยเหลือสังคม การดำเนินการทางการเงินให้มีสภาพคล่องที่ดี พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยได้เลือกลงทุนโครงการที่มีศักยภาพ ซึ่งมีการร่วมทุนและค้นพบแหล่งใหม่ในประเทศมาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังได้รักษาระดับการผลิต ลดต้นทุนต่อหน่วย โดยปตท.สผ.จะรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ให้อยู่ในระดับ 29-30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีการบริหารความเสี่ยงผลกระทบจากราคาน้ำมันผันผวน รวมทั้งลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดEV) ได้ประกาศกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศนั้นตนเชื่อมั่นว่า ยานยนต์ EV จะไม่กระทบกับปตท.สผ. เนื่องจาก ผลผลิตหลักของ ปตท.สผ. จะเป็นก๊าซธรรมชาติ ไม่ใช่น้ำมัน ในขณะที่รถยนต์ EV คาดว่าจะมีการใช้มากขึ้นใน 10-15 ปีข้างหน้า โดยประเทศไทยวางเป้าหมายในปี 2568 จะต้องมีการจำหน่ายยานยนต์ EV รวม 1,051,000 คัน และก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงหลักในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ซึ่งนโยบานของ ปตท.สผ. คือ เน้นการผลิตก๊าซฯ เพิ่มมากขึ้น และยังทำแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) เช่น การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS)