PTTGCถือเงิน2.28แสนล้านเดินหน้าซื้อAllnexยันไม่ต้องเพิ่มทุน

ผู้ชมทั้งหมด 547 

PTTGC เดินหน้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH ปิดดีลเสร็จสิ้นปี 64 หนุนปี 65 รายได้เติบโตก้าวกระโดด ยันมีเงิน 2.28 แสนล้านเพียงพอไม่ต้องเพิ่มทุน ชี้ไม่กระทบจ่ายเงินปันผล

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวกรณีที่บริษัท PTTGC International (Netherlands) B.V. (GC Inter B.V.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTTGC ได้ดำเนินการเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นสามัญในบริษัท Allnex Holding GmbH หรือ allnex เป็นมูลค่าประมาณ 148,417 ล้านบาท ว่า บริษัทคาดว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งหากเป็นไปตามแผนก็จะส่งผลให้ในปี 2565 จะเริ่มรับรู้เป็นรายได้เข้ามาทันที ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดด

ทั้งนี้เนื่องจากผลประกอบการของ allnex ในแต่ละปีจะมีรายได้เฉลี่ยในระดับ 2,000 ล้านยูโร (EUR) หรือ 74,167.2 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.08 บาท ต่อ 1 ยูโร) โดยมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 400 ล้านยูโรต่อปี และมี EBITDA Margin เฉลี่ยอยู่ที่ 17 – 19% ซึ่งภายหลังจากดำเนินการซื้อหุ้น allnex แล้วเสร็จจะช่วยสนับสนุนให้ EBITDA Margin ของ PTTGC เพิ่มขึ้นอีก 2% จากปัจจุบันที่มี EBITDA Margin อยู่ราว 8-9% และจะส่งผลให้ PTTGC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอีก 10% โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้มีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 13-15%

ขณะเดียวกันนี้ allnex มีเครือข่ายโรงงานการผลิตที่ทันสมัย 33 แห่งใน 18 ประเทศ ศูนย์การวิจัยและเทคโนโลยีอีก 23 แห่ง และเป็นผู้นำกว่า 70 ปี ในการผลิตและพัฒนานวัตกรรม Coating Resin สามารถใช้กับเทคโนโลยีการเคลือบที่หลากหลายและครอบคลุมการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เหล็ก ยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น จะมีโอกาสสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต

นอกจากนี้ภายหลังจากดำเนินการซื้อหุ้น allnex แล้วเสร็จคาดว่าจะช่วยให้กลุ่ม PTTGC มีความสามารถในการขยายตลาดเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน รวมทั้งมีความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการศึกษาการทำ Synergy ร่วมกัน ซึ่งมีหลายส่วน เช่น ด้านวัตถุดิบ คงต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร เนื่องจากการผลิต Coating Resins สามารถใช้วัตถุดิบของ PTTGC ได้ ดังนั้นในอนาคตต้องกลับมาดูว่าจะสามารถดำเนินการร่วมกันได้อย่างไรบ้าง ซึ่งคงต้องรอให้กระบวนการซื้อกิจการเสร็จสิ้นภายในปลายปีนี้ก่อน

โดย allnex เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีการวางกลยุทธ์ในการเจริญเติบโต 3 ด้านอย่างชัดเจน ได้แก่ ความเป็นผู้นำในตลาด Coating Resins คุณภาพสูง มุ่งแสวงหาการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดใหม่ๆ และมุ่งมั่นพัฒนาสารเคลือบที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ ภายใตกลยุทธ์ 3 Steps คือ 1.Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน 2.Step Out การลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและการแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในต่างประเทศ และกลยุทธ์ 3.Step Up ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

อย่างไรก็ตามในปี 2564 บริษัทยังคงเป้าปริมาณการขายเติบโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจะได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการใหม่ 3 ประกอบด้วย โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) 130,000 ตันต่อปี เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อปลายปี 2563

รวมถึงจะได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนในแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตันต่อปี และโพรพิลีน 250,000 ตันต่อปี โดยจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีนี้

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี  PTTGC การจัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนในครั้งนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทฯ มีเงินสดในมือราว 100,000 ล้านบาท มีวงเงินการค้าชำระวัตถุดิบที่สามารถขยายอายุการจ่ายเงินได้อีก 32,000 ล้านบาท วงเงินจากการขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราว 23,000 ล้านบาท บวกกับวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อีก 73,920 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันเท่ากับว่ามีเงินรองรับในการซื้อกิจการรวมทั้งสิ้นราว 228,920 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีธนาคารต่างๆ ได้เสนอวงเงินกู้อีกราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่บริษัทคาดว่าต้องกู้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท โดยในปัจจุบันบริษัทยังมีศักยภาพในการกู้เงินได้อีก เนื่องจากมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.3 เท่า และภายหลังซื้อกิจการในครั้งนี้ D/E อยู่ที่ 0.6-0.7 เท่า ดังนั้นบริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินสูงมาก และการซื้อกิจการครั้งนี้ ไม่กระทบการจ่ายเงินปันผล