SCGรับล็อกดาวน์กระทบธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

ผู้ชมทั้งหมด 583 

SCGไตรมาส2กำไร1.7หมื่นล้านจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนครึ่งปีหลัง 64 ชี้มาตรการล็อกดาวน์กระทบธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น

ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และทุกธุรกิจมีผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ธุรกิจเคมิคอลส์

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 SCG มีรายได้จากการขาย 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 96 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังยอมรับว่าธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากความต้องการของตลาดที่ชะลอตัวลงจากมาตรการปิดเมือง โดยเฉพาะมาตรการล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้าง มีผลกระทบ 20% ในแง่ของสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งกระทบมา 1 เดือนแล้วถ้าสถานการณ์โควิดลากยาวผลกระทบจะเพิ่มขึ้น แต่ยังเชื่อว่าทั้งในและต่างประเทศตลาดยังไปได้อยู่ แต่ถ้ามองใน 3-4 เดือนข้างหน้าก็ยังวิตกกับยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม SCG ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการกระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ SCGHOME.com มากขึ้น อีกทั้งมุ่งนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชัน ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

นอกจากนั้น บริษัทยังมุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและมาร์จิ้นสูง (HVE) พร้อมมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการทำงานเพื่อให้พร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในยุค New Normal โดยจะนำแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) เข้ามาอยู่ในโมเดลการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง

ขณะที่ความต้องการธุรกิจเคมีภัณฑ์และแพ็คเก็จจิ้งยังไปได้ เพราะการบริโภคในพื้นที่ยังมีอยู่ มีการส่งของ การขนส่งกระทบไม่มาก ก็หวังว่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโตได้จากการซื้อกิจการและการขยายกำลังการผลิต และธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ครึ่งปีแรกส่วนต่างเคมีภัณฑ์ที่ดีมากยังหนุนผลงานทั้งปีนี้เติบโตได้

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า โครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผนร้อยละ 83 โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้ในสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบัน 44%

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ “เอสซีจี เคมิคอลส์”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCG ถือหุ้นทั้งหมดเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri Petrochemical Tbk (หรือ “CAP”) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นจำนวนเงิน 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 14,260 ล้านบาท) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ร้อยละ 30.57

โดยจะนำไปลงทุนในโครงการ Petrochemical Complex แห่งที่ 2 (CAP2) ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าการลงทุนใน CAP เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีไปยังประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดสินค้าปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและมีอัตราการเติบโตสูง