กทท.เร่งเปิดประมูลที่ดิน 3 แปลง มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ดึงเอกชนพัฒนาที่ดิน

ผู้ชมทั้งหมด 502 

กทท.เร่งเปิดประมูลที่ดิน 3 แปลง 15-17 ไร่ ท่าเรือกรุงเทพฯ 90 ไร่ท่าเรือแหลมฉบัง มูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท หวังดึงเอกชนพัฒนาเชิงพาณิชย์เพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับท่าเรือ วางเป้า 3 ปี เพิ่มเป็น 20% ขณะที่กำไรปีนี้

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า กทท. เร่งหารายได้จากธุรกิจพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ในธุรกิจนี้เป็น 20% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งท่าเรืออยู่ที่ 90% ธุรกิจพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 10% โดยในขณะที่ กทท. อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดการประกวดราคาเพื่อเชิญชวนให้เอกชนลงทุนพัฒนาที่ดินจำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1.ท่าเรือแหลมฉบังขนาด 90 ไร่ อยู่นอกรั้วกรมศุลกากร 2.ที่ดิน 17 ไร่ติดอาคารสำนักงานของ กทท.อยู่นอกรั้วกรมศุลกากร 3.ที่ดิน 15 ไร่ข้างอาคารสำนักงาน กทท.นอกรั้วกรมศุลกากรบริเวณโกดังสเตเดียม ซึ่งทั้ง 3 แปลงนั้นมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท

สำหรับแผนการพัฒนาที่ดินทั้ง 3 แปลงนั้น กทท. อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอคณะกรรมการปฏิรูปทรัพย์สิน โดย กทท.จะเร่งนำเสนอโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณท่าเรือแหลมฉบังขนาด 90 ไร่ ก่อน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขบวนการออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2566 และได้คาดว่าจะได้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาปลายปีนี้ สำหรับการพัฒนาพื้นที่ในท่าเรือเรือแหลมฉบังนั้นจะพัฒนาเป็นจุดพักรถบรรทุก (Track Parking) เพื่อแก้ปัญหาจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เช่น บริการโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ สำหรับรถบรรทุกที่เข้ามารอเวลารับ-ส่งสินค้าจากสายเรือ ซึ่งจากการศึกษาในเบื้องต้นจะเปิดให้เช่าในระยะเวลา 15 – 20 ปี  

สำหรับที่ดิน 17 ไร่ข้างสำนักงาน กทท. เบื้องต้นจะให้เช่าไม่ต่ำกว่า 30 ปี พัฒนาเป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) โดยเปิดกว้างให้เอกชนนำเสนอรูปแบบการพัฒนาที่สนับสนุนกิจกรรมด้านโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็น Marine Logistics Center และ Business Center City รวมทั้งใช้ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ กทท. เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เป็นต้น ซึ่งที่ดินพื้นที่ 17 ไร่ คาดว่าจะสามารถออกเอกสารประกาศเชิญชวนเอกชนได้ในปลายปีนี้ ในขณะที่แปลง 15 ไร่ ข้างอาคารสำนักงาน กทท.นอกรั้วกรมศุลกากรบริเวณโกดังสเตเดียม คาดว่าจะออกเอกสารประกาศเชิญชวนเอกชนได้ในเดือนมกราคม 2567  

นายเกรียงไกร กล่าวถึงผลประกอบการ กทท. ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม 2566 – มีนาคม 2566) พบว่าผลการดำเนินงานของ กทท. มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง รวม 6,928 เที่ยว ลดลง 5% สินค้าผ่านท่า 55.97 ล้านตัน ลดลง 2.4% และตู้สินค้าผ่านท่า 4.81 ล้าน ที.อี.ยู. ลดลง 3.3% เนื่องจากเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศปี 2566 ขยายตัวต่ำกว่าปีก่อนหน้าทั้งการนำเข้าและส่งออก ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีนมีการเติบโตต่ำกว่าคาด และผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่สถิติปริมาณสินค้ารถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ปีงบประมาณ 2563-2566 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณรถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง เดือนตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566 อยู่ที่ 792,225 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า 25% คาดว่าตลอดทั้งปีจะมีปริมาณการขนส่งรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นสถิติที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ เป็นผลจากการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ขณะนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมจากผู้บริโภค

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ายอดการขนส่งสินค้าจะลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ กทท. ยังมีรายได้จากการประกอบการในส่วนอื่นๆ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ กทท. ระยะเวลา 6 เดือน มีรายได้สุทธิ 7,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.12% กำไรสุทธิ 3,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.41% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยตลอดปีงบประมาณ 2566 ตั้งเป้ากำไรประมาณ 6,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 72 ปี นอกจากนี้ กทท. ยังเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้นำส่งรัฐสูงสุด 10 อันดับแรก ซึ่งปัจจุบัน กทท.นำเงินส่งรัฐ 70% ของกำไรสุทธิเพื่อคำนวนนำส่งรัฐ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา กทท. นำเงินส่งรัฐ ทั้งสิ้น 4,879 ล้านบาท