GC ชูกลยุทธ์ 3 Step Plus สร้างการเติบโตยั่งยืน สู่เป้า Net Zero ปี 93

ผู้ชมทั้งหมด 307 

GC ลุยปรับพอร์ตธุรกิจ มุ่งสู่ Hight Value and Low Carbon ผ่านกลยุทธ์ 3 Step Plus ยกขีดความสามารถแข็งขัน สร้างกำไรด้วยผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตตตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือGC ร่วมสัมมนาหัวข้อ GC Action for Change : ภาคธุรกิจกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ในงานสัมมนา Sustainable Daily Talk Action for Change : ทำเดี๋ยวนี้! เพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยระบุว่า สิ่งสำคัญสุดของความยั่งยืน คือ การสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแล้วล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งการดำเนินการเรื่อง ESG นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจแล้ว ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวขององค์กร

ขณะที่ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับ ESG ผ่านการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ.2065 ผ่านโรดแมปการใช้พลังงาน และการบริหารจัดการขยะ โดยเฉพาะเรื่องของขยะพลาสติกที่ต้องมีระบบจัดการอย่างถูกวิธี

โดย บริษัทก็มีเป้าหมายในการเดินหน้าองค์กรสู่ธุรกิจเติบโตควบคู่การลดคาร์บอน และประกาศเป้าหมาย Commitment to Net Zero ภายในปี 2050 หรือปี 2593 ผ่านการปรับ Portfolio มุ่งสู่ธุรกิจ Hight Value and Low Carbon ซึ่งเริ่มจากการออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ ตอบสนองต่อความต้องการ คำนึงถึงสุขภาพ สังคมเมือง ที่จะช่วยให้อยู่ในสังคมเมืองได้ดี รวมถึงเรื่องดิจิทัล ซึ่งบริษัทดำเนินการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ บริษัท ยังได้วางกลยุทธ์ 3 Step Plus เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่ Hight Value and Low Carbon ประกอบด้วย

1. Step Change: กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยการสร้างเสริม GC ให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยปรับปรุงหน่วยผลิตและโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการแบบองค์รวมจากโครงการ Map Ta Phut Integration  และขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Products: HVP) และมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดโลกให้มากขึ้น

2.Step Out: แสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่บริษัทระดับโลก และ ตอบโจทย์ธุรกิจ Low Carbon โดยที่ผ่านมาบริษัท ร่วมกับ allnex ได้สร้าง Synergy และแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญที่มีทั้งด้านปฏิบัติการ และด้านนวัตกรรม โดยจะขยายความร่วมมือไปในด้านอื่นเพิ่มเติม เช่น ด้าน ความยั่งยืน หรือ Digitalization ในอนาคต โดยที่ผ่านมา GC และ allnex ได้ก่อตั้ง Thailand Innovation Hub เป็นศูนย์นวัตกรรม เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และ อยู่ระหว่างการต่อยอดความร่วมมือไปยังบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม

3. Step Up: รักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลกภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืนและการดำเนินงานด้าน Decarbonization ตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึง Enablers for Transformation หรือ การเปลี่ยนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพร้อมสำหรับการเติบโต

นอกจากนี้ บริษัทยังปรับ Portfolio มุ่งสู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon โดยในกลุ่ม High Value ในกลุ่ม Specialty & Performance Chemicals มุ่งสู่ผลิตภัณฑ์ที่ทนทานมากขึ้น การต่อยอดธุรกิจใหม่ที่สร้างมูลค่า เพิ่มอัตราผลตอบแทนกำไรที่ดี วัสดุปลอดภัย และควบคู่กับการลดคาร์บอน เช่น ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปล่อย GHG รวมถึง Zero Carbon Footprint

ขณะที่ธุรกิจ Bio-based โดยสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร มีสินค้าที่ย่อยสลายได้ ลดขยะพลาสติก มีผลิตภัณฑ์ทางเลือก Carbon Footprint ต่ำที่สุด ลดการปล่อย GHG สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพลาสติกใช้แล้ว สร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมได้ ซึ่งจะเป็นในกลุ่มของ Circularity & Recycling

และที่สำคัญที่สุด คือ การหมุนเวียน หรือ ระบบ Circularity & Recycling การรีไซเคิล จะช่วยทุกอย่างได้เยอะ โดยมีระบบกาจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลาสติก โดยลดแล้ว 1,270 ล้านขวด นอกจากนี้ยังช่วยกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และภาคส่วนต่างๆ ในการรวบรวมขยะพลาสติกใช้แล้ว เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะช่วยลดขยะ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างยั่งยืน