GGC ลั่นลุยต่อ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 2” คาดตอกเสาเข็ม เร็วๆนี้

ผู้ชมทั้งหมด 1,000 

“โกลบอลกรีนเคมิคอล” ลั่นครึ่งหลังปี 65 ลุยลงทุนโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท เตรียมตอกเสาเข็มเร็วๆนี้ ขณะที่โครงการ ระยะที่ 1 เลื่อน COD ปี66 หวังปีหน้า ยอดขายไบโอดีเซลเพิ่ม สอดรับนโยบายรัฐปรับส่วนผสมเป็น บี7 รับไตรมาส 3 ปีนี้ อาจขาดทุนสต็อก หลังราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น

นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2022 บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) GGC เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2565 โดยระบุว่า ทิศทางการลงทุนของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ยังเดินหน้าขยายการลงทุนใน โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการลงทุนต่อเนื่อง 2-3 ปีหลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด(PLA) ซึ่งบริษัท จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ วางระบบน้ำประปา ในพื้นที่ และปัจจุบัน ได้ทำการปรับที่ดินแล้ว คาดว่า จะเริ่มทำการตอกเสาเข็มเพื่อเดินหน้าก่อสร้างโครงการได้ในเร็วๆนี้ และ โครงการนี้จะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2567

ส่วนความคืบหน้า โครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) ที่บริษัท ร่วมกับกลุ่ม KTIS ดำเนินโครงการใน ระยะที่ 1 มูลค่า 7,500 ล้านบาท เดิมมีแผนจะเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์(COD) ในปีนี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปเป็นหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เริ่มหีบอ้อย และผลิตเอทานอลได้แล้วบ้างส่วน คาดว่าจะผลิตได้เต็มกำลังในปีหน้า

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัท ประเมินว่า ยอดขายไบโอดีเซล (เมทิลเอสเทอร์) จะเพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้ไบโอดีเซล(บี 100) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามนโยบายของภาครัฐ ที่มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล(บี 100) ในน้ำมันดีเซลจาก บี5 ไปสู่ บี7 ในปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตในประเทศ และการแข่งขัน ก็ยังอยู่ในระดับสูง

ส่วนแฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) ตลาดยังมีความต้องการใช้อยู่ตามทิศทางการใช้พลังงานสะอาด ขณะที่ราคายังมีแนวโน้มผันผวนเช่นเดียวกับปีนี้ แต่จากประสบการณ์การบริหารจัดการที่ดีของบริษัท ก็มั่นใจว่าจะยังรักษาอัตรากำไรไว้ได้เหมือนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นั้น คาดว่า ในส่วนของราคาผลิตภัณฑ์ทั้ง ไบโอดีเซล (เมทิลเอสเทอร์),แฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) และกลีเซอรีน จะปรับลดลง ทำให้เกิดปัญหาขาดทุนสต็อกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ และคาดการสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยได้เตรียมพร้อมรับมือในหลายมาตรการเพื่อรับมือ ทั้งการควบคุมให้เกิดปัญหาขาดทุนสต็อกให้น้อยที่สุด และด้านวัตถุดิบได้พิจารณาตลาดให้ได้ราคาดีที่สุด