RATCH ปี 67 ทุ่มงบ 1.5 หมื่นล้าน ขยายกำลังการผลิต 700 MW เล็งลงทุนไฮโดรเจนในออสเตรเลีย

ผู้ชมทั้งหมด 844 

RATCH ปี 67 เตรียมงบ 1.5 หมื่นล้าน ลุยขยายกำลังการผลิตใหม่เข้าพอร์ต 700 เมกะวัตต์ หวังรักษาระดับ EBITDA ไม่ให้ต่ำ 1.2 หมื่นล้าน จ่อปิดดีลปีนี้หนุนขายไฟเพิ่มเป็น 10,000 เมกะวัตต์ พร้อมเร่งขยายธุรกิจ Non-Power เล็งลงทุนไฮโดรเจนในออสเตรเลีย

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ราว 15,000 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่เป็นโครงการใหม่ (Greenfields) หรือโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Brownfields) รวมทั้งการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่เปิดดำเนินงานแล้ว โดยมีเป้าหมายให้ได้กำลังการผลิตเข้ามาใหม่ กว่า 700 เมกะวัตต์ โดยจะเน้นการ M&A ประมาณ 300 เมกะวัตต์ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ทันที และยังช่วยสนับสนุนให้กำไรจากการดำเนินงาน ของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโต หรือสามารถรักษาระดับ EBITDA ให้ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท

ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าที่จะลงทุนใหม่ยังคงเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่เป็นเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ พลังงานน้ำ และพลังงานทดแทน โดยบริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสต่อยอดการลงทุน และร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำในการขยายฐานธุรกิจในตลาดเดิม ไม่ว่าจะเป็น ไทย สปป.ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสการเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาด้วย

ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 10,807.35 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) 7,873.96 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาก่อสร้างรวม 2,933.39 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างนั้นคาดว่าจะสามารถ COD ในปีนี้ 756.68 เมกะวัตต์ และ COD ในปี 2567 ราว 459.06 เมกะวัตต์ COD ในปี 2568 ราว 775.80 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือทยอย COD ครบทั้งหมดในปี 2576

นางสาวชูศรี กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2566 ว่า บริษัทฯ ยังมั่นใจจะสามารถผลักดันให้ EBITDA เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 12,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรก 2566 นั้นมี EBITDA อยู่ที่ 7,798 ล้านบาท และคาดว่ากำลังการผลิตรวมที่ COD ในปี 2566 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมที่ COD แล้วอยู่ที่ 7,873.96 เมกะวัตต์ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าจะสามารถปิดดีล M&A โครงการโรงไฟฟ้าเข้ามาใหม่ได้อีก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทฯ ยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตของ NREI และ RAC รวม 9 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,116.98 เมกะวัตต์ โดย 4 โครงการ ตั้งอยู่ในฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง และโครงการพลังงานลมบนชายฝั่ง และในทะเล อีก 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 550 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีโครงการพลังงานน้ำและลมในเวียดนามอีก 2 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 65.15 เมกะวัตต์ และอีก 3 โครงการในออสเตรเลีย ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 502 เมกะวัตต์

ส่วนแผนการลงทุนในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า (Non Power) ยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนในโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจคาร์บอนต่ำที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะยาว โดย RATCH มีแผนลงทุนในธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา คาดว่าในปี 2568 จะสามารถดำเนินการก่อสร้างเป็นต้นแบบในการทดลองใช้ และคาดว่าจะงบลงทุนราว 200-250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการลงทุนในธุรกิจ Non Power นั้นคาดว่าภายใน 5 ปีจะมีสัดส่วน EBITDA อยู่ที่ 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 5% นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (พ.ศ. 2593)