SCN มั่นใจกำไรปี65ทำนิวไฮ รับราคาน้ำมันแพงหนุนยอดขายก๊าซฯ

ผู้ชมทั้งหมด 581 

“สแกน อินเตอร์” มั่นใจ ผลประกอบการทั้งปีนี้ ทำนิวไฮนับจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รับปัจจัยบวกราคาน้ำมันพุ่ง หนุนยอดขายก๊าซฯ ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า เติบโตต่อเนื่อง เล็งปิดดีล M&A อย่างน้อย 1โครงการในปีนี้ จากเจรจาอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ราย

นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2022 บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) SCN เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2565 โดยระบุว่า บริษัท มั่นใจว่าผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ จะทำสถิติสูงสุด(นิวไฮ)นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากครึ่งแรกของปี 2565 บริษัท สามารถทำกำไรอยู่ที่ 303 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปัจจัยบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจก๊าซธรรมชาติจึงกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งในส่วนของเอ็นจีวี (NGV) และก๊าซธรรมชาติอัด (iCNG) จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆและยังมีลูกค้ารายใหม่ หันมาสนใจใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนมากขึ้น เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังมีราคาถูกกว่าด้วย

โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติแรงอัด iCNG ขยายตัวมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาบริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (Thai-Japan Gas Network หรือ TJN) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SCN ได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร จากประเทศญี่ปุ่น คือ บริษัท Shizuoka Gas Company Limited โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 49% ส่งผลให้ฐานลูกค้าขยายเพิ่มมากขึ้น และทำให้ยอดขายก๊าซฯ กลับขึ้นมาแตะระดับกว่า 5,000 MMBTU/วัน จากช่วงโควิด-19 ที่ลดลงไปเหลือประมาณ 500 MMBTU/วัน

ส่วนก๊าซ NGV ก็ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการ NGV เพิ่มสูงขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชนมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ธุรกิจซ่อมบำรุงรถเมย์ NGV ของ ขสมก. จำนวน 489 คัน มีแนวโน้มดีขึ้น หลังอัตราการเสียลดลงจาก 15% เหลือเพียง 3% ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น และตั้งแต่ปี67 เป็นต้นไปรายได้จากส่วนนี้จะเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า ก็มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของ โรงไฟฟ้ามินบู ที่เมียนมา กำลังการผลิตติดตั้ง 220 เมกกะวัตต์ ภายหลังจากการจำหน่ายไฟฟ้าโครงการเฟสที่ 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์ ก็รับรู้รายได้แล้ว และเฟส 2 อีก 50 เมกกะวัตต์จะสร้างเสร็จในปลายปีนี้ และปีหน้าอีก 2 เฟส จะแล้วเสร็จ ตามแผนครบ 220 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ผ่านมาโครงการในเมียนมา ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รัฐประหารแต่อย่างใด บริษัทยังคงได้รับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าตรงเวลาและต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญของเมียนมา

ส่วนธุรกิจ Solar Rooftop โครงการซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ รวมกำลังการผลิตที่ COD แล้ว 12 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน COD ไปแล้วรวม 21 โครงการ และสิ้นปีนี้จะ COD ได้ตามเป้า 20 เมกะวัตต์ ซึ่งมั่นใจว่ากำลังผลิตจะเติบโตไปแตะระดับ 110 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 ตามแผน และถือเป็นหนึ่งในอีกธุรกิจที่จะสามารถสร้างผลกำไรเติบโตได้เกินคาด และมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราค่าไฟฟ้าทั่วไปที่ขยับสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีแนวทางขยายฐานธุรกิจในส่วนนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตมากขึ้นในอนาคต

“ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เดินทางไปต่างประเทศและเจรจาแผนควบรวมและเข้าซื้อกิจการ(M&A) และแผนการร่วมทุน(JV) ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว และโครงการพัฒนาใหม่ แต่จะอยู่ภายใต้ที่บริษัทมีความถนัด ฉะนั้น ภายในปีนี้ คาดว่าจะปิดดีลได้อย่างน้อย 1 โครงการ จากที่เจรจาอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 โครงการ”

นายฤทธี กล่าวอีกว่าสำหรับธุรกิจใหม่ปลูกกัญชง แบบ Indoor Outdoor บนพื้นที่ 3,150 ตารางเมตร กำลังการผลิตกว่า 200 กิโลกรัมต่อวันนั้น ได้ก่อสร้างเสร็จและเริ่มดำเนินการปลูกบ้างแล้ว หลังจากได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแม้ว่าปัจจุบันกฎหมายจะยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เกี่ยวกับเรื่องการปลูกกัญชาเสรีนั้น แต่ในส่วนของบริษัท ก็ได้ศึกษาโอกาสและหาฐานลูกค้ากัญชงไว้แล้ว คาดว่าจะสามารถทำสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่มีความต้องการใช้กัญชงในระยะต่อไปได้